Shell/Command – DevExperience https://www.unzeen.com :// Sun, 17 Nov 2019 03:10:35 +0000 en-US hourly 1 การสตรีมไฟล์วิดีโอไปยัง Facebook Live และ Youtube Live ด้วย FFmpeg https://www.unzeen.com/article/3569/ https://www.unzeen.com/article/3569/#comments Thu, 30 Mar 2017 00:46:28 +0000 https://www.unzeen.com/?p=3569 วันนี้มาทดลองทำการสตรีมไฟล์วิดีโอเพื่อถ่ายถอดสดไปยัง Facebook Live และ Youtube Live กันครับ โดยเราจะใช้ FFmpeg ในการสตรีม ไม่สอนการติดตั้งนะครับน่าจะพอทำเป็น โดยบน Facebook เราจะสตรีมทั้งจากหน้า profile และหน้า page ก่อนนี้เฟสบุคจะมี Publishing Tools ให้เฉพาะกับหน้า page เท่านั้น ถ้าจะสตรีมผ่านหน้า profile เราต้องเขียนโปรแกรมขึ้นมาเพื่อหาค่า Stream Key ซึ่งก็ไม่ได้ยากอะไร แต่ตอนนี้ไม่ต้องเขียนหละเฟสบุคเขาทำให้หมดแล้ว คลิกๆ ไม่กี่ทีก็ได้ Stream Key มาใช้แล้วครับ ส่วนของ Youtube ก็เช่นกัน คลิกๆ ไม่กี่ทีก็ได้ Stream key มาใช้สำหรับสตรีมเช่นกัน

1. การสตรีมวิดีโอไปยัง Facebook Live (Profile Account)
อันนี้เป็นการใช้แอคเค้าเฟสบุคธรรมดาของเรานี้หละครับ ซึ่งปกติเราก็กดถ่ายถอดสดจากมือถือหรือจากคอมพิวเตอร์ได้อยู่แล้ว แต่เดียวเราจะลองถ่ายถอดสดจากไฟล์หนังกันดูครับ เริ่มแรกให้เข้าไปที่ https://www.facebook.com/live/create/ และทำการคลิก Create Live Stream

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

เลือก Share on your own Timeline และคลิก Next

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

จากนั้นเราจะได้หน้าที่แสดง Server URL และ Stream Key ให้ copy ค่านี้เอาไว้ เดียวเราต้องใช้ในการสตรีม

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

เมื่อได้ Stream Key มาแล้ว เราก็มาสั่งสตรีมจาก ffmpeg ได้เลยครับ โดยให้สั่ง

ffmpeg -re -i test.mp4 -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZZZZZ"

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

เรียบร้อยครับ กด Go Live ได้เลย

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

2. การสตรีมวิดีโอไปยัง Facebook Live (Page Account)
อันนี้เป็นการใช้แฟนเพจแอคเค้าในการสตรีมนะครับ เพสบุคเขาเตรียมเครื่องมือเอาไว้ให้พร้อมแล้วเช่นกัน โดยเริ่มจากการเข้าไปในหน้าเพจของเราแล้วคลิกที่ Publishing Tools และเลือก Video Library ทางเมนูซ้ายมือ จากนั้นคลิกที่ปุ่ม + Live

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

ได้ Stream Key มาแล้ว กด Next

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

สั่งสตรีมด้วยคำสั่งต่อไปนี้ อย่าลืมแก้ Stream Key เป็นของตัวเองให้เรียบร้อยนะครับ

ffmpeg -re -i test.mp4 -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZ"

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

กด Go Live เป็นอันเรียบร้อย

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

3. การสตรีมวิดีโอไปยัง Youtube Live
อันสุดท้ายเป็นการสตรีมไปยัง Youtube Live ให้เข้าไปที่ https://www.youtube.com/live_dashboard ให้เลื่อนลงมาล้างสุดจะเห็นหัวข้อ ENCODER SETUP ให้ทำการกด Reveal ระบบจะแสดง Stream name/key โดยในส่วนของ Share คือ Link ที่ใช้สำหรับดูไลฟ์จริง ส่งตัวนี้ให้เพื่อนได้เลยครับ ส่วนพารามิเตอร์ตัวอื่นๆ อย่างเช่นการใส่ภาพ thumbnail ก็ลองไปซนดูกันต่อเองครับ

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

จากนั้นนำ Stream name/key ที่ได้มาสั่งให้ FFmpeg สตรีมไปยัง Youtube Live โดยใช้คำสั่งต่อไปนี้

ffmpeg -re -i test.mp4 -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://a.rtmp.youtube.com/live2/XXXX-XXXXX-XXXXX-XXXXX"

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

เรียบร้อยไลฟ์ได้แล้วครับ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จากอ้างอิงด้านล่างนะครับ

FFMPEG FACEBOOK YOUTUBE LIVE

เพิ่มเติม
หากต้องการสตรีมจากกล้อง webcam ที่ต่ออยู่กับ Raspberry Pi สามารถใช้คำสั่งได้ดังนี้

ffmpeg -f video4linux2 -s 426x240 -r 30 -b 2500k -i /dev/video0 -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZZZZZ"

หรือสามามารถใช้คำสั่ง avconv ดังต่อไปนี้

avconv -f video4linux2 -s 426x240 -r 30 -b 2500k -i /dev/video0 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZZZZZ"

หรือหากต้องการสตรีมจาก RTSP อื่นๆ ไปยัง Facebook Live หรือ Youtube Live สามารถใช้คำสั่งได้ดังนี้

ตัวอย่างนี้จะสตรีมจาก RTSP อื่นไปยัง Facebook Live

ffmpeg -re -i "rtsp://192.168.1.108/rtsp/live" -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZZZZZ"

อันนี้ใช้สำหรับสตรีมจากกล้อง CCTV ที่ติดในบ้านไปยัง Facebook สังเกตว่าต้องเราต้องเพิ่ม -i input-sound.mp3 เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มเสียงเข้าไป เพราะถ้าไม่มีเสียงส่งไปด้วย Facebook จะไม่ยอมไลฟ์ให้

ffmpeg -re -i "rtsp://user:[email protected]:554/cam/realmonitor?channel=1&subtype=1" -i input-sound.mp3 -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZZZZZ"

อ้างอิง:
https://www.facebook.com/live/create/?step=landing
https://www.youtube.com/live_dashboard
https://ffmpeg.org/ffmpeg.html
https://www.facebook.com/facebookmedia/get-started/live

]]>
https://www.unzeen.com/article/3569/feed/ 7
การติดตั้งและใช้งาน Tor แบบ Expert Bundle และทำเป็น Service ของ Windows พร้อมทั้งเปลี่ยนเส้นทางทุก 1 นาที https://www.unzeen.com/article/3361/ https://www.unzeen.com/article/3361/#comments Sun, 25 Dec 2016 04:07:44 +0000 https://www.unzeen.com/?p=3361 จริงๆ ผมเคยเขียนเรื่องการใช้งาน Tor ไปแล้ว 2 ครั้ง มาดูอีกทีเป็นช่วงเดือนเดียกันนี้ด้วย คือเดือนธันวาคมปี 2013 “ติดตั้งและใช้งาน Tor + Provoxy เพื่ออำพรางตัว” และธันวาคมปี 2014 “ติดตั้งและใช้งาน Tor + Vidalia บน Linux Mint เมื่อ ธันวาคม 2014” ที่ผ่านมาผมติดตั้งและใช้งานผ่าน Vidalia มาตลอดเพราะใช้งานง่ายดี แต่ตอนนี้ทางโครงการเขาเอา Vidalia ออกแล้ว และเหลือให้เฉพาะ Tor Browser ซึ่งก็เป็น Tor รวม Firefox Browser มาด้วยนั้นหละ แต่แบบนี้มีคนสอนใช้งานเยอะแล้ว เดี๋ยวเราข้ามไปติดตั้งกันแบบ Expert Bundle และทำมันเป็น Service ของ Windows และปรับเปลี่ยนคอนฟิกนิดหน่อยเพื่อให้มันเปลี่ยนเส้นทางทุกๆ 1 นาที

อย่างแรกก็เข้าไปดาวน์โหลดโปรแกรมกันก่อน ให้เลือกโหลดตัว Expert Bundle นะครับ

https://www.torproject.org/download/download.html.en

tor-expert

เมื่อโหลดมาแล้วให้ทำการ unzip และเอาไฟล์ที่ได้ไปวางไว้ที่ c:\Tor\ (จริงๆ วางที่ไหนก็ได้นะตามสะดวก)

tor-expert

จากนั้นทำการสร้างคอนฟิกไฟล์ ชื่อ torrc ไว้ที่โฟลเดอร์ C:\Tor\Data\Tor\

tor-expert

โดยใส่คอนฟิกไป 1 ตัวคือ MaxCircuitDirtiness 60 ค่านี้คือสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางใหม่ทุกๆ 60 วินาที ค่าปกติจะเป็น 10 นาที แต่อันนี้เราต้องการให้เปลี่ยนเร็วขึ้นหน่อย (หน่วยวินาที) (แต่ค่าปกติที่ผมใช้คือ 5 นาที)

MaxCircuitDirtiness 60

tor-expert

จากนั้นทำการรัน tor ให้เป็น Service ของ Windows โดยใช้คำสั่ง tor –service install –options -f “C:\Tor\Data\Tor\torrc” โดยให้เปิด Command Prompt และเลือกรันเป็น Administrator

tor-expert

จากนั้นสั่งเพิ่ม Service Tor เข้าไปในระบบ

cd c:\Tor\Tor
tor --service install --options -f "C:\Tor\Data\Tor\torrc"

tor-expert

จากนั้นเข้าไปดูใน Service ของ Windows หน่อยหนึ่งว่ามี Tor Win32 Service ขึ้นมาแล้วหรือยัง เราสามารถสั่ง Stop และ Start service จากหน้านี้ก็ได้

tor-expert

หรือหากต้องการสั่ง Start และ Stop service ก็สามารถสั่งผ่านทาง command line ได้โดยใช้คำสั่งดังนี้ครับ

tor --service stop
tor --service start

tor-expert

และหากต้องการลบ Service ของ Tor ออกจากระบบก็ให้ใช้คำสั่ง

tor --service remove

เท่านี้หละครับ เราติดตั้ง Tor แบบ Beginner Expert เรียบร้อยแล้ว ต่อไปถ้าจะให้โปรแกรมอื่นๆ เข้ามาใช้งาน Tor เราก็แค่ไปกำหนดให้โปรแกรมนั้นวิ่งมาใช้งาน Tor ผ่าน SOCKS5 ที่พอร์ต 9050 หรือหากโปรแกรมของคุณไม่สามารถใช้งาน proxy ผ่าน SOCKS5 ได้ ก็ให้ติดตั้ง Privoxy ให้ฟอร์เวิร์ดพอร์ตมาที่ HTTP อีกทีก็ได้ครับ ผมเคยเขียนวิธีไว้แล้วเมื่อปลายปี 2013 “ติดตั้งและใช้งาน Tor + Provoxy เพื่ออำพรางตัว

ขั้นต่อไปเรามาติดตั้ง Google Chrome plugin เพื่อเอาไว้สลับเส้นทางว่าเราจะใช้ Tor หรือว่าไม่ใช้ โดยผมเลือกใช้ plugin ตัวนี้นะครับ “Proxy SwitchyOmega” โดยเมื่อติดตั้งเสร็จแล้วจะมีไอคอนกลมๆ ขึ้นทางขวามือ ให้คลิกแล้วเลือกไปที่ Options

tor-expert

ให้คลิกเลือกไปที่ Profile :: proxy แล้วตั้งค่าตามนี้ และกดปุ่ม Apply changes ด้านซ้ายมือเป็นอันเรียบร้อย

Protocal = SOCKS5
Server = 127.0.0.1
Port = 9050

tor-expert

เวลาที่เราจะใช้งาน Tor ก็ให้คลิกไปที่รูปวงกลมทางขวาแล้วเลือกไปที่ proxy หรือถ้าหากต้องการกลับมาใช้แบบไม่ผ่าน Tor ก็คลิกเลือกไปที่ Direct

ทีนี้ก่อนจบ เราก็มาทดสอบดู IP ที่เราได้กันหน่อยว่ามันเปลี่ยนทุกๆ 1 นาทีจริงไหม โดยเปิดเข้าไปที่ https://check.torproject.org/ แล้วลองจับเวลาดูเองนะครับ ว่าทุกๆ 1 นาที เราได้ IP ใหม่มาหรือยัง ถ้าต้องการเปลี่ยนระยะเวลาก็เข้าไปแก้ไขที่ไฟล์ torrc แล้วเปลี่ยนเป็นค่าที่ต้องการแล้วสั่ง restart service ก็เรียบร้อย

tor-expert

ขอให้ทุกคนปลอดภัย

ข้อมูลอ้างอิง : https://www.torproject.org/docs/tor-manual.html.en

Update: 2019-05-26: ตอนนี้ Tor Project ไม่ให้โหลดไฟล์ Tor Expert ตรงๆแล้ว แต่ยังมี link ให้โหลดอยู่ โดยสามารถ downlaod ได้จาก
1. https://dist.torproject.org/torbrowser/8.0.9/tor-win32-0.3.5.8.zip
2. https://dist.torproject.org/torbrowser/8.0.9/tor-win64-0.3.5.8.zip

หรือจะใช้ไฟล์จากที่ผมโหลดเก็บไว้ก็ได้
1. https://www.unzeen.com/download/Tor-Project/tor-win32-0.3.5.8.zip
2. https://www.unzeen.com/download/Tor-Project/tor-win64-0.3.5.8.zip

]]>
https://www.unzeen.com/article/3361/feed/ 1
การติดตั้ง Let’s Encrypt Free HTTPS บน Debian https://www.unzeen.com/article/3300/ https://www.unzeen.com/article/3300/#respond Fri, 04 Dec 2015 17:27:51 +0000 https://www.unzeen.com/?p=3300 ปกติแล้วถ้าเราจะทำให้เว็บของเราเข้าผ่าน HTTPS ได้เนีย เราก็ต้องเสียเงินซื้อ Certificate ซึ่งก็มีราคาตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น แต่เท่าที่ผมลองมาก็มีของ http://rapidssl.com/ ที่ราคาถูกหน่อยประมาณ 500 กว่าบาทต่อปี แต่ถ้าไม่อยากจ่ายเงินเลยตอนนี้ก็มี Let’s Encrypt https://letsencrypt.org/ ที่มาช่วยเราประหยัดค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ ซึ่งก็มีวิธีติดตั้งง่ายมากๆ ง่ายกว่าแบบเสียเงินซะอีก แต่ว่า certificate ที่ได้มาจะมีอายุแค่ 90 วัน พอหมดอายุแล้วเราก็ต้องกลับไปต่อใหม่ ซึ่งผมก็คิดว่าไม่น่าใช่ปัญหา ลองติดตั้งกันเลยดีกว่า ใช้แค่ 3 ขั้นตอนก็เสร็จ เริ่มเลย..

ขั้นแรกทำการติดตั้ง Git ซะก่อน

# apt-get install git

ทำการ clone letsencrypt จาก github

# git clone https://github.com/letsencrypt/letsencrypt

สั่งรัน ./letsencrypt-auto เพื่อสร้างคีย์

# cd letsencrypt
# ./letsencrypt-auto

หลังจากสั่ง ./letsencrypt-auto ระบบจะแสดงหน้าจอขึ้นมาให้เราเลือกเว็บที่ต้องการจะทำเป็น HTTPS (ตรงนี้สำคัญ แนะนำให้เลือกทำทีละเว็บนะครับ ผมลองเลือกที่ละหลายเว็บพร้อมกันแล้วระบบมันสร้างคีย์ขึ้นมาให้ตัวเดียวแล้วใช้ด้วยกัน แต่ถ้าเราสร้างคนละทีมันจะแยกคีย์ให้)
ssl-letsencrypt

เลือก Easy แล้วก็กด OK ข้ามไปครับ
ssl-letsencrypt

เสร็จเรียบร้อย ดีใจด้วยคุณได้เว็บที่มี https นำหน้าแล้ว แต่ว่า certificate ที่ได้มาจะมีอายุ 90 วัน พอครบแล้วเราต้องมาขอใหม่นะครับ ซึ่งก็ไม่น่าใช่ปัญหา
ssl-letsencrypt

ทดสอบเปิดเว็บขึ้นมาดูหน่อยว่าขึ้นสีเขียวไหม ถ้าไม่ได้ก็ตัวใครตัวมันครับ ฝันดี…
ssl-letsencrypt

# เพิ่มเติมให้อีกหน่อย หากต้องการสร้าง Certificate Key แค่อย่างเดียวก็ให้ใช้คำสั่งต่อไปนี้ แต่ก่อนสั่งต้อง stop apache ก่อนนะครับ และเมื่อสร้างเสร็จแล้ว เราต้องเป็นคนแก้ config ของ apache ให้ใช้ Certificate ตัวใหม่นี้เองด้วย โดย certificate ที่ได้จะถูกเก็บไว้ที่ /etc/letsencrypt/live/

# ./letsencrypt-auto certonly --standalone -d www.lookhin.com -d lookhin.com

เมื่อได้ Certificate มาแล้วเราต้องเข้าไปแก้ไขคอนฟิกไฟล์ของ apache ในส่วนของ VirtualHost ให้เรียกใช้ Certificate Key ตัวใหม่เหมือนในตัวอย่างนี้



    ServerAdmin [email protected]
    ServerName lookhin.com
    ServerAlias www.lookhin.com
    DocumentRoot /var/www/lookhin.com

    CustomLog ${APACHE_LOG_DIR}/lookhin.com.access.log combined
    ErrorLog ${APACHE_LOG_DIR}/lookhin.com.error.log

    SSLCertificateFile /etc/letsencrypt/live/www.lookhin.com-0001/fullchain.pem
    SSLCertificateKeyFile /etc/letsencrypt/live/www.lookhin.com-0001/privkey.pem
    Include /etc/letsencrypt/options-ssl-apache.conf



# เราจะเห็นว่าทุกครั้งที่เราสั่งสร้าง certificate มันจะมี dialog box ขึ้นมาถามตลอดว่าทำนู้นไหมนี้ไหม ซึ่งถ้าเราไม่อยากให้มันถามอะไร เราก็ใส่คำสั่งไปทีเดียวได้ว่าจะให้มันทำอะไรบ้าง (และเดียวเราจะเอาคำสั่งตรงนี้หละไปใส่ใน crontab เพื่อให้มันต่ออายุอัตโนมัติ)

# ./letsencrypt-auto certonly --webroot -w /var/www/lookhin.com --email [email protected] --text --no-redirect --renew-by-default --agree-tos -d www.lookhin.com -d lookhin.com

# การต่ออายุ certificate อัตโนมัติ ในคู่มือของทาง letsencrypt เองก็บอกว่าเราสามารถทำได้โดยตั้งเวลาต่ออายุใหม่ไว้ใน crontab เลยก็ได้ โดยให้ต่ออายุใหม่ก่อนที่มันจะครบ 90 วัน แต่ว่า crontab มันเลือกไม่ได้นี้ว่าให้นับ 90 วันแล้วทำงาน มันเลือกได้แค่วันเวลา งั้นวิธีที่ง่ายที่สุดผมจะสั่งมันต่ออายุ certificate ใหม่ทุกๆ วันที่ 1 ของเดือน 2, 4, 6, 8, 10, 12 ซึ่งแต่ละรอบก็ประมาณ 60 วัน หรือหากกว่าใครมีวิธีดีกว่านี้แนะนำผมได้นะ ตอนนี้คิดออกเท่านี้

0 0 1 2,4,6,8,10,12 * /root/letsencrypt/letsencrypt-auto certonly --webroot -w /var/www/lookhin.com --email [email protected] --text --no-redirect --renew-by-default --agree-tos -d www.lookhin.com -d lookhin.com && /usr/sbin/service apache2 reload

# หรือถ้าหากว่าเราใช้โฮสที่เป็น share host ที่เขามี control panel ให้สามารถใส่ ssl certificate เองได้ แต่ไม่สามารถ shell เข้าใช้งานได้ เราสามารถที่จะใช้เครื่องอื่นที่สามารถใช้ letsencrypt ในการสร้าง certificate ขึ้นมาแล้วเอา certificate ที่ได้มาใช้กับโฮสนั้นก็ได้ โดยให้เราสั่งรัน ./letsencrypt-auto certonly –manual ซึ่งระบบจะให้เราไปสร้าง text file อันหนึ่งไว้ในเว็บของเราเพื่อเป็นการยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของจริงๆ เช่น http://www.lookhin.com/.well-known/acme-challenge/..d_Sd6yI………vNCi3-uEb…Y เมื่อสร้างเสร็จแล้วเราจะได้ไฟล์ certificate และ key อยู่ในโฟสเดอร์ /etc/letsencrypt/archive/www.lookhin.com/ ให้ใช้ไฟล์ทั้งหมดในนี้ไปใช้งาน

# ./letsencrypt-auto certonly --manual
]]>
https://www.unzeen.com/article/3300/feed/ 0
การสร้าง Debian Droplet บน DigitalOcean และติดตั้ง Apache, PHP, MySQL, ProFTPD, Firewall https://www.unzeen.com/article/3208/ https://www.unzeen.com/article/3208/#respond Sat, 04 Jul 2015 08:45:51 +0000 http://www.unzeen.com/?p=3208 วันนี้มาลองสร้าง Droplet บน DigitalOcean กันครับ หลังจากสร้างแล้วเราจะติดต้ัง Apache, PHP, MySQL, ProFTPD, Firewall เพื่อใช้งานเป็น Web Server ด้วย, เจ้า Droplet ที่ว่ามันก็คือ Virtual Servers นี่หละครับ บน DigitalOcean เขาเรียก Droplet ซึ่งในบทความนี้ผมจะเลือกใช้ Image ที่เป็น Debian 8.1 x64 นะครับ ส่วนโปรแกรมอื่นๆที่เราจะใช้เดียวเราจะลงเองภายหลัง

อย่างแรกเราต้องมี Account ของ DigitalOcean ก่อนครับ ถ้ายังไม่มีก็สมัครก่อนครับ https://www.digitalocean.com/?refcode=29f4a5ac06ae (ถ้าคุณสมัครผ่านลิงค์นี้และเริ่มใช้งาน ผมก็ได้เครติดการใช้งานด้วย ^^) เมื่อสมัครเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการล็อกอินเข้าระบบและเลือก Create Droplet โดยกำหนดค่าต่างๆ ดังนี้

Droplet Hostname : ชื่อของเว็บหรือชื่อที่เราจะใช้เรียก droplet อันนี้ ตั้งว่าอะไรก็ได้แต่ห้ามมีช่องว่าง
Select Size : เลือกไซต์เล็กสุด 5 USD ต่อเดือน (ประมาณเดือนละ 169 บาท ถูกมากๆ)
Select Region : เลือกเป็น Singapore ใกล้บ้านเราหน่อยจะได้เร็วๆ
Select Image : อันนี้เลือกเป็น Debian 8.1 x64 หรือถ้าใครอยากใช้แบบที่มีโปรแกรมต่างๆอยู่แล้วก็เลือกไปที่แท็บ Application และเลือก Image ที่มีโปรแกรมต่างๆ ในแบบที่ตัวเองต้องการได้เลยครับ

digitalocean-debian-01

เมื่อเลือก ขนาด, ที่ตั้ง, และอิมเมจได้แล้วก็คลิก Create Droplet ด้านล่างสุดได้เลยครับ รอไม่กี่อึดใจก็จะมีอีเมล์มาแจ้งเราว่า IP Address และ root password ของอิมเมจของเราคืออะไร ขั้นต่อไปก็ทำการรีโมทเข้าไปทำการติดตั้งโปรแกรมต่างๆ

เมื่อได้รับอีเมลแจ้ง IP Address และ root password ของอิมเมจที่เราสร้างแล้วก็ให้ทำการรีโมทเข้าไปติดตั้ง Apache, PHP, MySQL, ProFTPD ตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

1. ทำการเพิ่มยูสเซอร์และคอนฟิก ssh ไม่ให้รีโมทล๊อกอินด้วย root

# apt-get update
# apt-get upgrade

# adduser demouser
# apt-get install sudo
# usermod -a -G sudo demouser

แก้ไขไฟล์ /etc/ssh/sshd_config

# nano /etc/ssh/sshd_config

ในไฟล์ /etc/ssh/sshd_config ให้หาคำว่า PermitRootLogin และทำการแก้ไขจาก PermitRootLogin yes เป็น PermitRootLogin no เพื่อไม่ให้รีโมทล๊อกอินด้วย root ได้

PermitRootLogin no

รีสตาร์ท ssh และลองล๊อกอินเข้าระบบด้วยยูเซอร์ใหม่

# systemctl restart ssh

2. ทำการติดตั้ง Apache, PHP, MySQL

# apt-get install apache2
# a2enmod ssl
# a2enmod rewrite

# apt-get install mysql-server
# mysql_secure_installation

# apt-cache search php5

# apt-get install php5 php5-cli php5-common php5-curl php5-gd php5-imap php5-ldap php5-mcrypt php5-mysql php5-sqlite php5-mongo php5-json
# service apache2 restart

ทำการแก้ไขไฟล์คอนฟิกของ apache เพื่อไม่ให้แสดงรายชื่อไฟล์ถ้าไม่มีอินเด็กและอนุญาตให้ใช้ .htaccess ได้

# nano /etc/apache2/apache2.conf

ในไฟล์ /etc/apache2/apache2.conf ให้หาคำว่า Directory /var/www/ และแก้ไข Options และ AllowOverride ดังนี้


        Options -Indexes -Includes -ExecCGI
        AllowOverride All
        Require all granted

แก้ไขไฟล์ security.conf ไม่ให้แสดงเวอร์ชั่นของ apache

# nano /etc/apache2/conf-available/security.conf

ในไฟล์ /etc/apache2/conf-available/security.conf ให้หาบรรทัด ServerTokens และ ServerSignature โดยแก้ไขดังนี้

ServerTokens Prod
ServerSignature Off

รีสตาร์ท apache อีกรอบ

# service apache2 restart

3. ติดตั้ง ProFTPD Server

# apt-get install proftpd

ทำการแก้ไขไฟล์ /etc/proftpd/proftpd.conf เพื่อให้ยูเซอร์แต่ละคนเห็นเฉพาะ directory ของตัวเองเท่านั้น

# nano /etc/proftpd/proftpd.conf

โดยแก้ไขไฟล์ /etc/proftpd/proftpd.conf ในหัวข้อ DefaultRoot และ RequireValidShell ดังนี้

DefaultRoot                     ~
RequireValidShell               on

จากนั้นทำการแก้ไขไฟล์ /etc/shells โดยเพิ่มบรรทัด /bin/false เข้าไปท้ายไฟล์

# nano /etc/shells

เพิ่มยูเซอร์ที่จะให้ FTP เข้ามาได้ แต่เราจะไม่ให้ยูเซอร์นี้ ssh เข้ามา โดยเพิ่มออปชั่น –shell /bin/false

# adduser demoftp --home /var/www/demoftp --shell /bin/false

จากนั้นรีสตาร์ท ProFTPD และทดสอบใช้ยูเซอร์ที่สร้าง FTP เข้ามาในระบบ จะเห็นว่ายูเซอร์นี้สามารถใช้งาน FTP ได้อย่างเดียวและจะเห็นข้อมูลแค่เฉพาะในไดเร็กทอรีของตัวเองเท่านั้น

# service proftpd restart

4. ติดตั้ง UFW Firewall

# apt-get install ufw

ทำการคอนฟิก Firewall โดยอนุญาตให้ใช้งานได้แค่ port 22,80,21,443

# ufw default deny incoming
# ufw default allow outgoing

# ufw allow 22/tcp
# ufw allow 80/tcp
# ufw allow 21/tcp
# ufw allow 443/tcp

# ufw disable
# ufw enable

ตรวจสอบสถานะของไฟล์วอด้วยคำสั่ง

# ufw status

เพียงเท่านี้เราก็มีเซิฟเวอร์พร้อมให้บริการแล้วครับ

]]>
https://www.unzeen.com/article/3208/feed/ 0
ติดตั้งและใช้งาน Tor + Vidalia บน Linux Mint https://www.unzeen.com/article/3112/ https://www.unzeen.com/article/3112/#respond Sun, 14 Dec 2014 09:42:24 +0000 http://www.unzeen.com/?p=3112 ผมเคยเขียนวิธีติดตั้งและใช้งาน Tor บน windows ไปแล้ว วันนี้มาดูการติดตั้งและใช้งาน Tor บน Linux กันบ้างครับ และเหมือนเดิมในตัวอย่างผมจะใช้ Linux Mint โดยเราจะติดตั้ง Vidalia ซึ่งจะทำให้เราจัดการกับ Tor ได้ง่ายขึ้น ผ่านโปรแกรมที่เป็นกราฟฟิก ไม่ต้องไปแก้ไขไฟล์คอนฟิกอะไรให้ยุ่งยาก

เนื่องจากเคยเขียนไปแล้วรอบหนึ่ง ฉะนั้นรอบนี้ก็มาเริ่มติดตั้งกันเลย ไม่ต้องพูดอะไรกันยาว ถ้าอยากอ่านยาวๆ ไปอ่านได้จากบทความเก่านะครับ https://www.unzeen.com/article/2629/

ทำการติดตั้ง Tor และ Vidalia

sudo apt-get install tor vidalia

เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วให้ทำการเปิดโปรแกรม Vidalia ขึ้นมา แล้วคลิกเข้าไปที่ Setting
tor-vidalia-linux

คลิกเลือกที่ Sharing และเลือก Run as a client only
tor-vidalia-linux

จากนั้นคลิกที่ Advanced ในช่อง Tor Control ให้เลือกเป็น Use Unix domain socket (ControlSocket) คลิก OK เพื่อบันทึกข้อมูล

ถ้าหากในขั้นตอนนี้คลิก OK เพื่อบันทึกข้อมูลไม่ได้ แสดงว่า Tor Service ยังไม่ถูก start ขึ้นมา ให้เราทำการ start service ของ tor ด้วยคำสั่งต่อไปนี้ก่อนครับ

$ sudo service tor start

tor-vidalia-linux

จากนั้นคลิก Start Tor
tor-vidalia-linux

ขั้นตอนถัดไปให้ทำการคอนฟิกบราวเซอร์ให้เรียกใช้งาน Tor ในตัวอย่างผมจะใช้ Firefox นะครับ ให้เข้าไปที่ Preferences -> Advanced -> Network และทำการคลิกที่ Settings ในส่วนของ Connection
tor-vidalia-linux

ในหน้า Connection Settings ให้เลือกมาที่ Manual proxy configuration และใส่ค่าในช่อง SOCKS Host เป็น 127.0.0.1 และ port 9050
tor-vidalia-linux

เรียบร้อยแล้วครับ ให้ทดสอบเปิด URL https://check.torproject.org/ เพื่อทดสอบว่าเราใช้งานระบบของ Tor แล้วหรือยัง

]]>
https://www.unzeen.com/article/3112/feed/ 0
การติดตั้ง Burg Boot Loader บน Linux Mint https://www.unzeen.com/article/3095/ https://www.unzeen.com/article/3095/#respond Sun, 14 Dec 2014 08:28:40 +0000 http://www.unzeen.com/?p=3095 จากครั้งที่แล้วที่เราได้ทำการแก้ไขหน้า GRUB Boot Loader จะเห็นว่าแก้ไขอะไรได้ไม่มาก วันนี้เราจะมาลองใช้โปรแกรมอีกตัวหนึ่งคือ Burg Boot Loader ซึ่งจะช่วยให้หน้าจอ Boot Loader ที่ใช้ในการเลือกเข้า OS ต่างๆ ในเครื่องของเราดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยในตัวอย่างนี้ผมจะทำการติดตั้งบน Linux Mint 17.1 คิดว่าถ้าเป็น Debian หรือ Ubuntu ก็น่าจะติดตั้งแบบเดียวกันทั้งหมด

ขั้นตอนไม่ยุ่งยากครับ เริ่มจากการเพิ่ม repo เข้าไป จากนั้นก็ทำการติดตั้งได้เลย

$ sudo add-apt-repository ppa:n-muench/burg
$ sudo apt-get update
$ sudo apt-get install burg burg-themes

ในระหว่างติดตั้งจะมีหน้าจอขึ้นมาถามเกียวกับค่าคอนฟิกต่างๆในระบบนะครับ เราไม่ต้องแก้ไขค่าอะไรให้เรากด OK ไปให้หมดเลยครับ จนถึงหน้าจอสุดท้ายที่จะให้เราเลือก Harddisk ที่เราจะติดตั้ง MBR โดยเราสามารถเลือก Harddisk ที่ต้องการได้โดยการกด Space Bar ให้ช่องด้านหน้ากลายเป็นเครื่องหมายดอกจัน จากนั้นกด OK เป็นอันเสร็จเรียบร้อยครับ (ปกติของคนอื่นจะติดตั้งไปที่ /dev/sda แต่ของผมติดตั้งลงใน Harddisk ตัวที่ 2 เลยได้เป็น /dev/sdb นะครับ)

ถ้าหากในขั้นตอนการติดตั้ง ระบบไม่ได้ถามให้เราเลือกติดตั้ง Burg ไปที่ MBR ของ Harddisk ตัวไหน ให้เราทำการติดตั้งเองโดยใช้คำสั่งต่อไปนี้

$ sudo burg-install /dev/sdb

ขั้นตอนถัดไป ต้องทำการเลือก Theme และปรับความละเอียดของหน้าจอกันอีกเล็กน้อย

$ sudo burg-emu

เมื่อเข้าไปแล้วจะเจอหน้าจอเหมือนในรูปนะครับ ให้ทำการกด F2 เพื่อเลือก Theme
burg boot loader

หลังจากเลือก Theme เสร็จเรียบร้อยแล้ว เดียวเรามาปรับความละเอียดของหน้าจอกันต่อครับ โดยให้เข้าไปแก้ไขที่ไฟล์ /etc/default/burg ซึ่งเราจะแก้กัน 2 จุด คือ

1. เอา # หน้า GRUB_DISABLE_LINUX_RECOVERY=”true” เพื่อไม่ให้แสดงตัวเลือก Recovery
2. ทำการแก้ไขความละเอียดของหน้าจอ โดยแก้ GRUB_GFXMODE=saved เป็น GRUB_GFXMODE=1366×768 (ความละเอียดของจอตัวเองเท่าไรก็ใส่ตามนั้นนะครับ ตรงนี้แนะนำให้พิมพ์ลงไปเองนะครับ ถ้าก๊อปปี้ไปอาจจะติดอักขระพิเศษไปด้วย อาจจะทำให้ผิดพลาดได้)

$ sudo nano /etc/default/burg

burg boot loader

ส่วนรูปโลโกของ OS ต่างๆ ถ้าเราไม่ชอบอันที่เขาให้มา เราสามารถเข้าไปเปลี่ยนได้เองที่ /boot/burg/themes/icons นะครับ

หลังจากแก้ไขไฟล์เสร็จแล้วให้สั่ง

$ sudo update-burg

เพียงเท่านี้เราก็จะได้หน้าจอ Boot Loader ที่ดูดีขึ้นมาทันที อย่างของผมเลือก Theme refit และเปลี่ยนโลโกจาก Linux Mint เป็นรูปเพนกวินก็จะได้หน้าจอประมาณนี้ครับ
burg boot loader

หากต้องการกลับไปใช้ GRUB ใหม่อีกรอบ ให้ใช้คำสั่งดังนี้ครับ

sudo grub-install /dev/sdb
]]>
https://www.unzeen.com/article/3095/feed/ 0
เทคนิคการใช้งานคำสั่ง wget เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ https://www.unzeen.com/article/3082/ https://www.unzeen.com/article/3082/#respond Mon, 08 Dec 2014 02:16:01 +0000 http://www.unzeen.com/?p=3082 wget เป็นคำสั่งที่ใช้ในการดาวน์โหลดไฟล์ที่นิยมใช้กันบน Linux ซึ่งปกติเราก็จะใช้ในการดาวน์โหลดไฟล์ซอสโค้ดหรือไฟล์โปรแกรมต่างๆ แต่ว่า wget ไม่ได้มีความสามารถแค่นั้น เรายังสามารถสั่งให้โหลดเฉพาะไฟล์ .pdf หรือไฟล์นามสกุลอื่นๆ จากทั้งเว็บไซต์มาเก็บไว้ที่เครื่องเราได้ หรือจะทำสำเนาทั้งเว็บไซต์ลงมาเก็บไว้เลยก็ยังได้ เดียวใช้งานยังไงมาดูกัน

1. อันนี้พื้นฐาน สั่งดาวน์โหลดไฟล์แค่ไฟล์เดียว ใช้คำสั่ง wget แล้วตามด้วย URL ของไฟล์ที่ต้องการ

$ wget http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf

2. หากต้องการเปลี่ยนชื่อไฟล์ด้วยหละก็ให้เพิ่มออปชั่น -O เข้าไป

$ wget -O Cinnamon.pdf http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf

3. จำกัดความเร็วของการดาวน์โหลดด้วยออปชั่น –-limit-rate

$ wget --limit-rate=200k http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf

4. ถ้าหากว่าโหลดไฟล์ไม่เสร็จเครื่องหยุดทำงานไปก่อน ให้เพิ่ม -c เพื่อสั่งให้โหลดต่อจากของเดิม

$ wget -c -O Cinnamon.pdf http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf

5. สั่งให้โหลดเป็นแบ็คกราวโพรเซส โดยเพิ่มออปชั่น -b โดยตัว wget จะสร้างล็อกไฟล์ชื่อ wget-log ขึ้นมา เราสามารถดูว่าโหลดถึงไหนแล้วได้จากล็อกไฟล์นี้

$ wget -b http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf

ดูล็อกไฟล์ว่าดาวน์โหลดถึงไหนแล้ว

$ tail -f wget-log

6. สำหรับบางเว็บไซต์ถูกจำกัดว่าจะต้องโหลดจากบราวเซอร์บางตัวเท่านั้น ให้เพิ่มออปชั่น –-user-agent เพื่อกำหนดให้เป็นบราวเซอร์ที่ต้องการ

$ wget --user-agent="Mozilla/5.0 (X11; Linux x86_64) AppleWebKit/537.36 (KHTML, like Gecko) Chrome/39.0.2171.71 Safari/537.36" http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf

7. คราวนี้มาลองโหลดทีละหลายๆไฟล์บ้าง ให้ทำการใส่ชื่อ URL ที่ต้องการดาวน์โหลดไว้ในเท็กไฟล์ ในตัวอย่างผมตั้งชื่อว่า download-list.txt

download-list.txt

http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf
http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/chinese_16.0.pdf
http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/dutch_17.0.pdf
http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/german_17.0.pdf

จากนั้นสั่งดาวโหลดทีละหลายๆไฟล์โดยเพิ่มออปชั่น -i แล้วตามดวยชื่อเท็กไฟล์ที่เราได้สร้างเตรียมไว้

$ wget -i download-list.txt

8. ต่อไปมาลองดาวน์โหลดเว็บไซต์ทั้งเว็บมาเก็บไว้ดูในเครื่องกันบ้าง โดยใช้ออปชั่น –-mirror และ ./www-local คือไดเร็กทอรี่ที่ต้องการให้เก็บข้อมูล

$ wget --mirror -p --convert-links -P ./www-local http://www.lookhin.com

9. คราวนี้ถ้าเราอยากได้แค่ไฟล์ที่มีนามสกุล .pdf จากเว็บไซต์ทั้งเว็บ เราก็ใช้คำสั่ง -r –-no-parent -A และตามด้วยนามสกุลของไฟล์ที่ต้องการ

$ wget -r --no-parent -A.pdf http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/

10. หากต้องการดาวน์โหลดไฟล์จาก FTP ก็สามารถทำได้เช่นกัน

$ wget --ftp-user=USERNAME --ftp-password=PASSWORD ftp://ftp.yourdomain.com/document/linux.pdf
]]>
https://www.unzeen.com/article/3082/feed/ 0
เปลี่ยนสีตัวอักษรและใส่ภาพพื้นหลังให้เมนูของ GRUB Bootloader https://www.unzeen.com/article/3066/ https://www.unzeen.com/article/3066/#respond Sat, 06 Dec 2014 13:57:05 +0000 http://www.unzeen.com/?p=3066 ปกติแล้วหลังจากที่เราติดตั้ง Linux เสร็จเรียบร้อย เวลาที่บูตเข้าระบบจะเจอกับหน้าจอของ GRUB Bootloader ซึ่งจะมีตัวอักษรสีขาวบนพื้นดำ หรือไม่ก็จะมี background ที่ติดมากับ Linux ที่เราติดตั้ง เราอาจจะไม่ค่อยชอบมันเท่าไรแต่ก็ต้องเจอทุกครั้งที่บูตเครื่องแน่นอน หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าเราสามารถเปลี่ยนรูป background ตรงนี้ได้ ซึ่งขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เดียววันนี้เรามาลองทำการเปลี่ยนดู (ผมทดลองบน Linux Mint 17.1 นะครับ เข้าใจว่าสาย debian ก็น่าจะมีวิธีการคล้ายๆกันทั้งหมด)

เริ่มแรกหาภาพที่จะเอามาใช้เป็น background กันก่อนครับ โดยให้ใช้เป็นภาพ .PNG ขนาด 640*480 pixel และสี 8-Bit อันนี้ภาพตัวอย่างของผมนะครับ ไฟล์ภาพตัวอย่าง

เมื่อได้ภาพที่ต้องการแล้วให้ทำการแก้ไขไฟล์ /etc/default/grub.d/50_linuxmint.cfg

$ sudo nano /etc/default/grub.d/50_linuxmint.cfg

ให้ทำการเพิ่มคำสั่ง GRUB_BACKGROUND เข้าไป โดยในตัวอย่างผมจะเอาภาพไปไว้ที่ /usr/share/backgrounds/linuxmint-qiana/grub-boot.png นะครับ

GRUB_BACKGROUND="/usr/share/backgrounds/linuxmint-qiana/grub-boot.png"

grub-change-background-text-color

เมื่อทำการใส่ภาพพื้นหลังเรียบร้อยแล้ว เรามาจะทำการแก้ไขสีของตัวอักษรและสีพื้นหลังให้มันเข้ากับภาพที่เราใส่เข้าไปเมื่อสักครู่นี้

$ sudo nano /etc/grub.d/06_mint_theme

เพิ่มบรรทัดต่อไปนี้ลงไปในส่วนของ set_mono_theme() โดยมี format เป็น สีตัวอักษร/สีพื้นหลัง แต่เราถ้าใส่พื้นหลังเป็น black มันจะเป็น transparent นะครับ งงกับมันเหมือนกัน – -‘

set menu_color_highlight=black/green
set menu_color_normal=black/black
set color_normal=black/black

grub-change-background-text-color

โดยสีที่เราสามารถใส่ได้มีทั้งหมดดังนี้

black
blue
brown
cyan
dark-gray
green
light-cyan
light-blue
light-green
light-gray
light-magenta
light-red
magenta
red
white
yellow

ขั้นตอนสุดท้ายสั่ง update-grub

$ sudo update-grub

grub-change-background-text-color

เรียบร้อยแล้วครับ บูตเครื่องครั้งหน้าจะเจอกับหน้าจอ GRUB Bootloader ประมาณนี้ครับ

grub-change-background-text-color

]]>
https://www.unzeen.com/article/3066/feed/ 0
การตั้งเวลาของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ CentOS 6.5 https://www.unzeen.com/article/3020/ https://www.unzeen.com/article/3020/#respond Tue, 14 Oct 2014 05:20:49 +0000 http://www.unzeen.com/?p=3020 พอดีว่าผมกำลังจะทำระบบล๊อกอินในหน้าเว็บไซต์ให้เป็น 2 Step Verification แบบ Time-based One-time Password เลยต้องทำการกำหนดค่าเวลาบนเซิร์ฟเวอร์ให้ตรงกับ NTP Server เลยถือโอกาสเอามาเขียนเก็บไว้หน่อยเป็นบันทึกช่วยจำ โดยจะลองเปลี่ยนทั้งค่า Time Zone ลองตั้งค่าเวลาเอง และกำหนดให้เซิร์ฟเวอร์ใช้ค่าเวลาจาก NTP Server ส่วนเรื่องการทำ Time-based One-time Password ไว้คราวหน้าจะเขียนอีกรอบหนึ่ง

อย่างแรกทำการตรวจสอบก่อนว่าระบบของเราตั้ง Time Zone เป็นประเทศไทยแล้วหรือยัง ด้วยคำสั่ง

cat /etc/sysconfig/clock

จะเห็นว่า Time Zone ปัจจุบันของเราเป็น America/New_York ซึ่งจะทำให้เวลาไม่ตรงกับเวลาในประเทศไทย
centos-set-timezone-ntp

ถ้าหากยังไม่ใช่ Time Zone ของประเทศไทย ให้ทำการเปลี่ยนด้วยการแก้ไข /etc/sysconfig/clock ให้เป็น ZONE=”Asia/Bangkok”

nano /etc/sysconfig/clock

centos-set-timezone-ntp

จากนั้นทำการอัพเดท Time Zone ด้วยคำสั่ง

tzdata-update

และทำการตรวจสอบเวลาปัจจุบัน

date

centos-set-timezone-ntp

หากต้องการตั้งเวลาใหม่ ให้ใช้คำสั่ง

date MMDDhhmmCCYY.ss

โดยความหมายของตัวอักษรแต่ละตัวดังนี้ครับ MM = month, DD = day, hh = hour, mm = minute, CCYY = 4 digit year, ss = seconds

ตัวอย่าง หากเราต้องการแก้ไขวันเวลาให้เป็นวันที่ 11 October 2014 เวลา 10.10 ก็จะสามารถสั่งได้ดังนี้

date 101110102014.00

หรือจะใส่แบบนี้ก็ได้เช่นกัน

date -s "10:10:00 October 11, 2014"

centos-set-timezone-ntp

จากนั้นเรามาลองทำการตั้งเวลาของเครื่องโดยใช้ Network Time Protocol (NTP) กันต่อเลยครับ เริ่มจากติดตั้ง package ntp กันก่อน

yum install ntp

centos-set-timezone-ntp

จากนั้นสั่งสตาร์เซอร์วิสและกำหนดให้ ntpd ทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง

service ntpd start
chkconfig ntpd on

centos-set-timezone-ntp

เรียบร้อยครับ เท่านี้เครื่องของเราก็จะมีเวลาที่ตรงกับ NTP Server แล้วครับ

]]>
https://www.unzeen.com/article/3020/feed/ 0
คำสั่งที่ใช้ในการบริหารและจัดการบัญชีผู้ใช้บนระบบลินุกซ์ https://www.unzeen.com/article/2034/ https://www.unzeen.com/article/2034/#respond Sun, 27 Jan 2013 13:00:52 +0000 http://www.unzeen.com/?p=2034 ลินุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่รองรับผู้ใช้งานได้หลายคนพร้อมๆ กัน โดยผู้ใช้งานแต่ละคนจะมีสิทธิ์ในการเข้าถึงและใช้งานไฟล์ที่แตกต่างกัน โดยผู้ใช้ที่ชื่อว่า root จะเป็นผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงที่สุดในระบบ ซึ่งเราจะใช้ผู้ใช้ root ในการติดตั้งและคอนฟิกค่าต่างๆ ของระบบ และมีโฮมไดเร็กทอรีอยู่ที่ /root ซึ่งจะต่างจากผู้ใช้คนอื่นๆของระบบที่จะมีโฮมไดเร็กทอรีอยู่ที่ /home/username แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็สามารถเปลียนโฮมไดเร็กทอรีของผู้ใช้แต่ละคนให้ไปอยู่ในไดเร็กทอรีต่างๆ ได้ ซึ่งคำสั่งที่จะใช้ในการจัดการกับยูเซอร์ในระบบจะมีคำสั่งหลักคือ useradd, passwd, chage, usermod, userdel, groupadd, groupdel มาดูตัวอย่างการใช้งานคำสั่งแต่ละตัวกันต่อเลยครับ

# useradd

เพิ่มยูเซอร์ใหม่ ถ้าเราใส่แค่ชื่อยูเซอร์ใหม่ที่ต้องการ ระบบจะสร้างกรุปใหม่ขึ้นมาให้ด้วย โดยชื่อกรุปจะเป็นชื่อเดียวกับชื่อยูเซอร์

# useradd lookhin1

เพิ่มยูเซอร์ใหม่และกำหนดโฮมไดเร็กทอรี

# useradd lookhin2 -d /var/www/html/lookhin2

เพิ่มยูเซอร์ใหม่และกำหนดโฮมไดเร็กทอรีและเชล

# useradd lookhin3 -d /var/www/html/lookhin3 -s /sbin/nologin

# passwd

เปลียนรหัสผ่าน

# passwd lookhin1

# chage

แสดงข้อมูลของผู้ใช้

# chage -l lookhin1

กำหนดวันหมดอายุของรหัสผ่านของผู้ใช้

# chage lookhin1

# usermod

เปลียนชื่อผู้ใช้ (ในตัวอย่างจะเปลียนจากชื่อ lookhin1 เป็น lookhin11)

# usermod -l lookhin11 lookhin1

เปลี่ยนกลุ่มของผู้ใช้ (เปลี่ยนกลุ่มของยูเซอร์ lookhin11 ไปเป็น newgroup)

# usermod -g newgroup lookhin11

# userdel

ลบชื่อผู้ใช้ออกจากระบบ แต่ไม่ต้องลบโฮมไดเร็กทอรีของผู้ใช้

# userdel lookhin11

ลบชื่อผู้ใช้ออกจากระบบและลบโฮมไดเร็กทอรีออกจากระบด้วย

# userdel -r lookhin2

# groupadd

เพิ่มกลุ่มใหม่

# groupadd testgroup

# groupdel

ลบกลุ่ม

# groupdel testgroup

# su

เปลี่ยนสิทธิ์เป็นยูเซอร์ root (ในตัวอย่างเราเป็นยูเซอร์ธรรมดาอยู่ เมื่อใช้คำสั่ง su – และใส่รหัสผ่านของ root เราก็จะเปลี่ยนตัวเองเป็น root)

$ su -

เปลี่ยนสิทธิ์เป็นยูเซอร์คนอื่นในระบบ (ถ้าเราเป็น root อยู่ในระบบ เราสามารถเปลียนตัวเองไปเป็นยูเซอร์คนไหนในระบบก็ได้)

# su hin

บทความนี้เป็นบทความสุดท้ายในซีรี CentOS Server ซึ่งเริ่มเขียนบทความซีรีนี้ครั้งแรกตั้งแต่ มกราคม 2555 จนตอนนี้ มกราคม 2556 ใช้เวลา 1 ปีพอดี นานมากๆ ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องต่างๆ ดังนี้

* CentOS Minimal Installation
* Web Server: Apache and PHP
* Virtual Host On Apache Web Server
* Software Package Management By YUM , RPM , Source
* Secure Web Server : Apache & Mod SSL
* Database: MySQL & PHP MySQL Extension
* Database: Oracle & PHP OCI8 Extension
* Mail Server: Postfix
* DNS Server: BIND
* FTP Server: ProFTPD
* User & Group Management

]]>
https://www.unzeen.com/article/2034/feed/ 0