1. การสตรีมวิดีโอไปยัง Facebook Live (Profile Account)
อันนี้เป็นการใช้แอคเค้าเฟสบุคธรรมดาของเรานี้หละครับ ซึ่งปกติเราก็กดถ่ายถอดสดจากมือถือหรือจากคอมพิวเตอร์ได้อยู่แล้ว แต่เดียวเราจะลองถ่ายถอดสดจากไฟล์หนังกันดูครับ เริ่มแรกให้เข้าไปที่ https://www.facebook.com/live/create/ และทำการคลิก Create Live Stream
เลือก Share on your own Timeline และคลิก Next
จากนั้นเราจะได้หน้าที่แสดง Server URL และ Stream Key ให้ copy ค่านี้เอาไว้ เดียวเราต้องใช้ในการสตรีม
เมื่อได้ Stream Key มาแล้ว เราก็มาสั่งสตรีมจาก ffmpeg ได้เลยครับ โดยให้สั่ง
ffmpeg -re -i test.mp4 -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZZZZZ"
เรียบร้อยครับ กด Go Live ได้เลย
2. การสตรีมวิดีโอไปยัง Facebook Live (Page Account)
อันนี้เป็นการใช้แฟนเพจแอคเค้าในการสตรีมนะครับ เพสบุคเขาเตรียมเครื่องมือเอาไว้ให้พร้อมแล้วเช่นกัน โดยเริ่มจากการเข้าไปในหน้าเพจของเราแล้วคลิกที่ Publishing Tools และเลือก Video Library ทางเมนูซ้ายมือ จากนั้นคลิกที่ปุ่ม + Live
ได้ Stream Key มาแล้ว กด Next
สั่งสตรีมด้วยคำสั่งต่อไปนี้ อย่าลืมแก้ Stream Key เป็นของตัวเองให้เรียบร้อยนะครับ
ffmpeg -re -i test.mp4 -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZ"
กด Go Live เป็นอันเรียบร้อย
3. การสตรีมวิดีโอไปยัง Youtube Live
อันสุดท้ายเป็นการสตรีมไปยัง Youtube Live ให้เข้าไปที่ https://www.youtube.com/live_dashboard ให้เลื่อนลงมาล้างสุดจะเห็นหัวข้อ ENCODER SETUP ให้ทำการกด Reveal ระบบจะแสดง Stream name/key โดยในส่วนของ Share คือ Link ที่ใช้สำหรับดูไลฟ์จริง ส่งตัวนี้ให้เพื่อนได้เลยครับ ส่วนพารามิเตอร์ตัวอื่นๆ อย่างเช่นการใส่ภาพ thumbnail ก็ลองไปซนดูกันต่อเองครับ
จากนั้นนำ Stream name/key ที่ได้มาสั่งให้ FFmpeg สตรีมไปยัง Youtube Live โดยใช้คำสั่งต่อไปนี้
ffmpeg -re -i test.mp4 -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://a.rtmp.youtube.com/live2/XXXX-XXXXX-XXXXX-XXXXX"
เรียบร้อยไลฟ์ได้แล้วครับ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จากอ้างอิงด้านล่างนะครับ
เพิ่มเติม
หากต้องการสตรีมจากกล้อง webcam ที่ต่ออยู่กับ Raspberry Pi สามารถใช้คำสั่งได้ดังนี้
ffmpeg -f video4linux2 -s 426x240 -r 30 -b 2500k -i /dev/video0 -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZZZZZ"
หรือสามามารถใช้คำสั่ง avconv ดังต่อไปนี้
avconv -f video4linux2 -s 426x240 -r 30 -b 2500k -i /dev/video0 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZZZZZ"
หรือหากต้องการสตรีมจาก RTSP อื่นๆ ไปยัง Facebook Live หรือ Youtube Live สามารถใช้คำสั่งได้ดังนี้
ตัวอย่างนี้จะสตรีมจาก RTSP อื่นไปยัง Facebook Live
ffmpeg -re -i "rtsp://192.168.1.108/rtsp/live" -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZZZZZ"
อันนี้ใช้สำหรับสตรีมจากกล้อง CCTV ที่ติดในบ้านไปยัง Facebook สังเกตว่าต้องเราต้องเพิ่ม -i input-sound.mp3 เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มเสียงเข้าไป เพราะถ้าไม่มีเสียงส่งไปด้วย Facebook จะไม่ยอมไลฟ์ให้
ffmpeg -re -i "rtsp://user:[email protected]:554/cam/realmonitor?channel=1&subtype=1" -i input-sound.mp3 -acodec libfdk_aac -ac 1 -vcodec libx264 -f flv "rtmp://rtmp-api.facebook.com:80/rtmp/XXXXXXXXXXXXX?ds=1&s_l=1&a=ZZZZZZZZZZZZZZ"
อ้างอิง:
https://www.facebook.com/live/create/?step=landing
https://www.youtube.com/live_dashboard
https://ffmpeg.org/ffmpeg.html
https://www.facebook.com/facebookmedia/get-started/live
อย่างแรกก็เข้าไปดาวน์โหลดโปรแกรมกันก่อน ให้เลือกโหลดตัว Expert Bundle นะครับ
https://www.torproject.org/download/download.html.en
เมื่อโหลดมาแล้วให้ทำการ unzip และเอาไฟล์ที่ได้ไปวางไว้ที่ c:\Tor\ (จริงๆ วางที่ไหนก็ได้นะตามสะดวก)
จากนั้นทำการสร้างคอนฟิกไฟล์ ชื่อ torrc ไว้ที่โฟลเดอร์ C:\Tor\Data\Tor\
โดยใส่คอนฟิกไป 1 ตัวคือ MaxCircuitDirtiness 60 ค่านี้คือสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางใหม่ทุกๆ 60 วินาที ค่าปกติจะเป็น 10 นาที แต่อันนี้เราต้องการให้เปลี่ยนเร็วขึ้นหน่อย (หน่วยวินาที) (แต่ค่าปกติที่ผมใช้คือ 5 นาที)
MaxCircuitDirtiness 60
จากนั้นทำการรัน tor ให้เป็น Service ของ Windows โดยใช้คำสั่ง tor –service install –options -f “C:\Tor\Data\Tor\torrc” โดยให้เปิด Command Prompt และเลือกรันเป็น Administrator
จากนั้นสั่งเพิ่ม Service Tor เข้าไปในระบบ
cd c:\Tor\Tor
tor --service install --options -f "C:\Tor\Data\Tor\torrc"
จากนั้นเข้าไปดูใน Service ของ Windows หน่อยหนึ่งว่ามี Tor Win32 Service ขึ้นมาแล้วหรือยัง เราสามารถสั่ง Stop และ Start service จากหน้านี้ก็ได้
หรือหากต้องการสั่ง Start และ Stop service ก็สามารถสั่งผ่านทาง command line ได้โดยใช้คำสั่งดังนี้ครับ
tor --service stop
tor --service start
และหากต้องการลบ Service ของ Tor ออกจากระบบก็ให้ใช้คำสั่ง
tor --service remove
เท่านี้หละครับ เราติดตั้ง Tor แบบ Beginner Expert เรียบร้อยแล้ว ต่อไปถ้าจะให้โปรแกรมอื่นๆ เข้ามาใช้งาน Tor เราก็แค่ไปกำหนดให้โปรแกรมนั้นวิ่งมาใช้งาน Tor ผ่าน SOCKS5 ที่พอร์ต 9050 หรือหากโปรแกรมของคุณไม่สามารถใช้งาน proxy ผ่าน SOCKS5 ได้ ก็ให้ติดตั้ง Privoxy ให้ฟอร์เวิร์ดพอร์ตมาที่ HTTP อีกทีก็ได้ครับ ผมเคยเขียนวิธีไว้แล้วเมื่อปลายปี 2013 “ติดตั้งและใช้งาน Tor + Provoxy เพื่ออำพรางตัว”
ขั้นต่อไปเรามาติดตั้ง Google Chrome plugin เพื่อเอาไว้สลับเส้นทางว่าเราจะใช้ Tor หรือว่าไม่ใช้ โดยผมเลือกใช้ plugin ตัวนี้นะครับ “Proxy SwitchyOmega” โดยเมื่อติดตั้งเสร็จแล้วจะมีไอคอนกลมๆ ขึ้นทางขวามือ ให้คลิกแล้วเลือกไปที่ Options
ให้คลิกเลือกไปที่ Profile :: proxy แล้วตั้งค่าตามนี้ และกดปุ่ม Apply changes ด้านซ้ายมือเป็นอันเรียบร้อย
Protocal = SOCKS5
Server = 127.0.0.1
Port = 9050
เวลาที่เราจะใช้งาน Tor ก็ให้คลิกไปที่รูปวงกลมทางขวาแล้วเลือกไปที่ proxy หรือถ้าหากต้องการกลับมาใช้แบบไม่ผ่าน Tor ก็คลิกเลือกไปที่ Direct
ทีนี้ก่อนจบ เราก็มาทดสอบดู IP ที่เราได้กันหน่อยว่ามันเปลี่ยนทุกๆ 1 นาทีจริงไหม โดยเปิดเข้าไปที่ https://check.torproject.org/ แล้วลองจับเวลาดูเองนะครับ ว่าทุกๆ 1 นาที เราได้ IP ใหม่มาหรือยัง ถ้าต้องการเปลี่ยนระยะเวลาก็เข้าไปแก้ไขที่ไฟล์ torrc แล้วเปลี่ยนเป็นค่าที่ต้องการแล้วสั่ง restart service ก็เรียบร้อย
ขอให้ทุกคนปลอดภัย
ข้อมูลอ้างอิง : https://www.torproject.org/docs/tor-manual.html.en
Update: 2019-05-26: ตอนนี้ Tor Project ไม่ให้โหลดไฟล์ Tor Expert ตรงๆแล้ว แต่ยังมี link ให้โหลดอยู่ โดยสามารถ downlaod ได้จาก
1. https://dist.torproject.org/torbrowser/8.0.9/tor-win32-0.3.5.8.zip
2. https://dist.torproject.org/torbrowser/8.0.9/tor-win64-0.3.5.8.zip
หรือจะใช้ไฟล์จากที่ผมโหลดเก็บไว้ก็ได้
1. https://www.unzeen.com/download/Tor-Project/tor-win32-0.3.5.8.zip
2. https://www.unzeen.com/download/Tor-Project/tor-win64-0.3.5.8.zip
ขั้นแรกทำการติดตั้ง Git ซะก่อน
# apt-get install git
ทำการ clone letsencrypt จาก github
# git clone https://github.com/letsencrypt/letsencrypt
สั่งรัน ./letsencrypt-auto เพื่อสร้างคีย์
# cd letsencrypt
# ./letsencrypt-auto
หลังจากสั่ง ./letsencrypt-auto ระบบจะแสดงหน้าจอขึ้นมาให้เราเลือกเว็บที่ต้องการจะทำเป็น HTTPS (ตรงนี้สำคัญ แนะนำให้เลือกทำทีละเว็บนะครับ ผมลองเลือกที่ละหลายเว็บพร้อมกันแล้วระบบมันสร้างคีย์ขึ้นมาให้ตัวเดียวแล้วใช้ด้วยกัน แต่ถ้าเราสร้างคนละทีมันจะแยกคีย์ให้)
เลือก Easy แล้วก็กด OK ข้ามไปครับ
เสร็จเรียบร้อย ดีใจด้วยคุณได้เว็บที่มี https นำหน้าแล้ว แต่ว่า certificate ที่ได้มาจะมีอายุ 90 วัน พอครบแล้วเราต้องมาขอใหม่นะครับ ซึ่งก็ไม่น่าใช่ปัญหา
ทดสอบเปิดเว็บขึ้นมาดูหน่อยว่าขึ้นสีเขียวไหม ถ้าไม่ได้ก็ตัวใครตัวมันครับ ฝันดี…
# เพิ่มเติมให้อีกหน่อย หากต้องการสร้าง Certificate Key แค่อย่างเดียวก็ให้ใช้คำสั่งต่อไปนี้ แต่ก่อนสั่งต้อง stop apache ก่อนนะครับ และเมื่อสร้างเสร็จแล้ว เราต้องเป็นคนแก้ config ของ apache ให้ใช้ Certificate ตัวใหม่นี้เองด้วย โดย certificate ที่ได้จะถูกเก็บไว้ที่ /etc/letsencrypt/live/
# ./letsencrypt-auto certonly --standalone -d www.lookhin.com -d lookhin.com
เมื่อได้ Certificate มาแล้วเราต้องเข้าไปแก้ไขคอนฟิกไฟล์ของ apache ในส่วนของ VirtualHost ให้เรียกใช้ Certificate Key ตัวใหม่เหมือนในตัวอย่างนี้
ServerAdmin [email protected]
ServerName lookhin.com
ServerAlias www.lookhin.com
DocumentRoot /var/www/lookhin.com
CustomLog ${APACHE_LOG_DIR}/lookhin.com.access.log combined
ErrorLog ${APACHE_LOG_DIR}/lookhin.com.error.log
SSLCertificateFile /etc/letsencrypt/live/www.lookhin.com-0001/fullchain.pem
SSLCertificateKeyFile /etc/letsencrypt/live/www.lookhin.com-0001/privkey.pem
Include /etc/letsencrypt/options-ssl-apache.conf
# เราจะเห็นว่าทุกครั้งที่เราสั่งสร้าง certificate มันจะมี dialog box ขึ้นมาถามตลอดว่าทำนู้นไหมนี้ไหม ซึ่งถ้าเราไม่อยากให้มันถามอะไร เราก็ใส่คำสั่งไปทีเดียวได้ว่าจะให้มันทำอะไรบ้าง (และเดียวเราจะเอาคำสั่งตรงนี้หละไปใส่ใน crontab เพื่อให้มันต่ออายุอัตโนมัติ)
# ./letsencrypt-auto certonly --webroot -w /var/www/lookhin.com --email [email protected] --text --no-redirect --renew-by-default --agree-tos -d www.lookhin.com -d lookhin.com
# การต่ออายุ certificate อัตโนมัติ ในคู่มือของทาง letsencrypt เองก็บอกว่าเราสามารถทำได้โดยตั้งเวลาต่ออายุใหม่ไว้ใน crontab เลยก็ได้ โดยให้ต่ออายุใหม่ก่อนที่มันจะครบ 90 วัน แต่ว่า crontab มันเลือกไม่ได้นี้ว่าให้นับ 90 วันแล้วทำงาน มันเลือกได้แค่วันเวลา งั้นวิธีที่ง่ายที่สุดผมจะสั่งมันต่ออายุ certificate ใหม่ทุกๆ วันที่ 1 ของเดือน 2, 4, 6, 8, 10, 12 ซึ่งแต่ละรอบก็ประมาณ 60 วัน หรือหากกว่าใครมีวิธีดีกว่านี้แนะนำผมได้นะ ตอนนี้คิดออกเท่านี้
0 0 1 2,4,6,8,10,12 * /root/letsencrypt/letsencrypt-auto certonly --webroot -w /var/www/lookhin.com --email [email protected] --text --no-redirect --renew-by-default --agree-tos -d www.lookhin.com -d lookhin.com && /usr/sbin/service apache2 reload
# หรือถ้าหากว่าเราใช้โฮสที่เป็น share host ที่เขามี control panel ให้สามารถใส่ ssl certificate เองได้ แต่ไม่สามารถ shell เข้าใช้งานได้ เราสามารถที่จะใช้เครื่องอื่นที่สามารถใช้ letsencrypt ในการสร้าง certificate ขึ้นมาแล้วเอา certificate ที่ได้มาใช้กับโฮสนั้นก็ได้ โดยให้เราสั่งรัน ./letsencrypt-auto certonly –manual ซึ่งระบบจะให้เราไปสร้าง text file อันหนึ่งไว้ในเว็บของเราเพื่อเป็นการยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของจริงๆ เช่น http://www.lookhin.com/.well-known/acme-challenge/..d_Sd6yI………vNCi3-uEb…Y เมื่อสร้างเสร็จแล้วเราจะได้ไฟล์ certificate และ key อยู่ในโฟสเดอร์ /etc/letsencrypt/archive/www.lookhin.com/ ให้ใช้ไฟล์ทั้งหมดในนี้ไปใช้งาน
# ./letsencrypt-auto certonly --manual
]]>
อย่างแรกเราต้องมี Account ของ DigitalOcean ก่อนครับ ถ้ายังไม่มีก็สมัครก่อนครับ https://www.digitalocean.com/?refcode=29f4a5ac06ae (ถ้าคุณสมัครผ่านลิงค์นี้และเริ่มใช้งาน ผมก็ได้เครติดการใช้งานด้วย ^^) เมื่อสมัครเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการล็อกอินเข้าระบบและเลือก Create Droplet โดยกำหนดค่าต่างๆ ดังนี้
Droplet Hostname : ชื่อของเว็บหรือชื่อที่เราจะใช้เรียก droplet อันนี้ ตั้งว่าอะไรก็ได้แต่ห้ามมีช่องว่าง
Select Size : เลือกไซต์เล็กสุด 5 USD ต่อเดือน (ประมาณเดือนละ 169 บาท ถูกมากๆ)
Select Region : เลือกเป็น Singapore ใกล้บ้านเราหน่อยจะได้เร็วๆ
Select Image : อันนี้เลือกเป็น Debian 8.1 x64 หรือถ้าใครอยากใช้แบบที่มีโปรแกรมต่างๆอยู่แล้วก็เลือกไปที่แท็บ Application และเลือก Image ที่มีโปรแกรมต่างๆ ในแบบที่ตัวเองต้องการได้เลยครับ
เมื่อเลือก ขนาด, ที่ตั้ง, และอิมเมจได้แล้วก็คลิก Create Droplet ด้านล่างสุดได้เลยครับ รอไม่กี่อึดใจก็จะมีอีเมล์มาแจ้งเราว่า IP Address และ root password ของอิมเมจของเราคืออะไร ขั้นต่อไปก็ทำการรีโมทเข้าไปทำการติดตั้งโปรแกรมต่างๆ
เมื่อได้รับอีเมลแจ้ง IP Address และ root password ของอิมเมจที่เราสร้างแล้วก็ให้ทำการรีโมทเข้าไปติดตั้ง Apache, PHP, MySQL, ProFTPD ตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. ทำการเพิ่มยูสเซอร์และคอนฟิก ssh ไม่ให้รีโมทล๊อกอินด้วย root
# apt-get update
# apt-get upgrade
# adduser demouser
# apt-get install sudo
# usermod -a -G sudo demouser
แก้ไขไฟล์ /etc/ssh/sshd_config
# nano /etc/ssh/sshd_config
ในไฟล์ /etc/ssh/sshd_config ให้หาคำว่า PermitRootLogin และทำการแก้ไขจาก PermitRootLogin yes เป็น PermitRootLogin no เพื่อไม่ให้รีโมทล๊อกอินด้วย root ได้
PermitRootLogin no
รีสตาร์ท ssh และลองล๊อกอินเข้าระบบด้วยยูเซอร์ใหม่
# systemctl restart ssh
2. ทำการติดตั้ง Apache, PHP, MySQL
# apt-get install apache2
# a2enmod ssl
# a2enmod rewrite
# apt-get install mysql-server
# mysql_secure_installation
# apt-cache search php5
# apt-get install php5 php5-cli php5-common php5-curl php5-gd php5-imap php5-ldap php5-mcrypt php5-mysql php5-sqlite php5-mongo php5-json
# service apache2 restart
ทำการแก้ไขไฟล์คอนฟิกของ apache เพื่อไม่ให้แสดงรายชื่อไฟล์ถ้าไม่มีอินเด็กและอนุญาตให้ใช้ .htaccess ได้
# nano /etc/apache2/apache2.conf
ในไฟล์ /etc/apache2/apache2.conf ให้หาคำว่า Directory /var/www/ และแก้ไข Options และ AllowOverride ดังนี้
Options -Indexes -Includes -ExecCGI
AllowOverride All
Require all granted
แก้ไขไฟล์ security.conf ไม่ให้แสดงเวอร์ชั่นของ apache
# nano /etc/apache2/conf-available/security.conf
ในไฟล์ /etc/apache2/conf-available/security.conf ให้หาบรรทัด ServerTokens และ ServerSignature โดยแก้ไขดังนี้
ServerTokens Prod
ServerSignature Off
รีสตาร์ท apache อีกรอบ
# service apache2 restart
3. ติดตั้ง ProFTPD Server
# apt-get install proftpd
ทำการแก้ไขไฟล์ /etc/proftpd/proftpd.conf เพื่อให้ยูเซอร์แต่ละคนเห็นเฉพาะ directory ของตัวเองเท่านั้น
# nano /etc/proftpd/proftpd.conf
โดยแก้ไขไฟล์ /etc/proftpd/proftpd.conf ในหัวข้อ DefaultRoot และ RequireValidShell ดังนี้
DefaultRoot ~
RequireValidShell on
จากนั้นทำการแก้ไขไฟล์ /etc/shells โดยเพิ่มบรรทัด /bin/false เข้าไปท้ายไฟล์
# nano /etc/shells
เพิ่มยูเซอร์ที่จะให้ FTP เข้ามาได้ แต่เราจะไม่ให้ยูเซอร์นี้ ssh เข้ามา โดยเพิ่มออปชั่น –shell /bin/false
# adduser demoftp --home /var/www/demoftp --shell /bin/false
จากนั้นรีสตาร์ท ProFTPD และทดสอบใช้ยูเซอร์ที่สร้าง FTP เข้ามาในระบบ จะเห็นว่ายูเซอร์นี้สามารถใช้งาน FTP ได้อย่างเดียวและจะเห็นข้อมูลแค่เฉพาะในไดเร็กทอรีของตัวเองเท่านั้น
# service proftpd restart
4. ติดตั้ง UFW Firewall
# apt-get install ufw
ทำการคอนฟิก Firewall โดยอนุญาตให้ใช้งานได้แค่ port 22,80,21,443
# ufw default deny incoming
# ufw default allow outgoing
# ufw allow 22/tcp
# ufw allow 80/tcp
# ufw allow 21/tcp
# ufw allow 443/tcp
# ufw disable
# ufw enable
ตรวจสอบสถานะของไฟล์วอด้วยคำสั่ง
# ufw status
เพียงเท่านี้เราก็มีเซิฟเวอร์พร้อมให้บริการแล้วครับ
]]>
เนื่องจากเคยเขียนไปแล้วรอบหนึ่ง ฉะนั้นรอบนี้ก็มาเริ่มติดตั้งกันเลย ไม่ต้องพูดอะไรกันยาว ถ้าอยากอ่านยาวๆ ไปอ่านได้จากบทความเก่านะครับ https://www.unzeen.com/article/2629/
ทำการติดตั้ง Tor และ Vidalia
sudo apt-get install tor vidalia
เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วให้ทำการเปิดโปรแกรม Vidalia ขึ้นมา แล้วคลิกเข้าไปที่ Setting
คลิกเลือกที่ Sharing และเลือก Run as a client only
จากนั้นคลิกที่ Advanced ในช่อง Tor Control ให้เลือกเป็น Use Unix domain socket (ControlSocket) คลิก OK เพื่อบันทึกข้อมูล
ถ้าหากในขั้นตอนนี้คลิก OK เพื่อบันทึกข้อมูลไม่ได้ แสดงว่า Tor Service ยังไม่ถูก start ขึ้นมา ให้เราทำการ start service ของ tor ด้วยคำสั่งต่อไปนี้ก่อนครับ
$ sudo service tor start
จากนั้นคลิก Start Tor
ขั้นตอนถัดไปให้ทำการคอนฟิกบราวเซอร์ให้เรียกใช้งาน Tor ในตัวอย่างผมจะใช้ Firefox นะครับ ให้เข้าไปที่ Preferences -> Advanced -> Network และทำการคลิกที่ Settings ในส่วนของ Connection
ในหน้า Connection Settings ให้เลือกมาที่ Manual proxy configuration และใส่ค่าในช่อง SOCKS Host เป็น 127.0.0.1 และ port 9050
เรียบร้อยแล้วครับ ให้ทดสอบเปิด URL https://check.torproject.org/ เพื่อทดสอบว่าเราใช้งานระบบของ Tor แล้วหรือยัง
]]>
ขั้นตอนไม่ยุ่งยากครับ เริ่มจากการเพิ่ม repo เข้าไป จากนั้นก็ทำการติดตั้งได้เลย
$ sudo add-apt-repository ppa:n-muench/burg
$ sudo apt-get update
$ sudo apt-get install burg burg-themes
ในระหว่างติดตั้งจะมีหน้าจอขึ้นมาถามเกียวกับค่าคอนฟิกต่างๆในระบบนะครับ เราไม่ต้องแก้ไขค่าอะไรให้เรากด OK ไปให้หมดเลยครับ จนถึงหน้าจอสุดท้ายที่จะให้เราเลือก Harddisk ที่เราจะติดตั้ง MBR โดยเราสามารถเลือก Harddisk ที่ต้องการได้โดยการกด Space Bar ให้ช่องด้านหน้ากลายเป็นเครื่องหมายดอกจัน จากนั้นกด OK เป็นอันเสร็จเรียบร้อยครับ (ปกติของคนอื่นจะติดตั้งไปที่ /dev/sda แต่ของผมติดตั้งลงใน Harddisk ตัวที่ 2 เลยได้เป็น /dev/sdb นะครับ)
ถ้าหากในขั้นตอนการติดตั้ง ระบบไม่ได้ถามให้เราเลือกติดตั้ง Burg ไปที่ MBR ของ Harddisk ตัวไหน ให้เราทำการติดตั้งเองโดยใช้คำสั่งต่อไปนี้
$ sudo burg-install /dev/sdb
ขั้นตอนถัดไป ต้องทำการเลือก Theme และปรับความละเอียดของหน้าจอกันอีกเล็กน้อย
$ sudo burg-emu
เมื่อเข้าไปแล้วจะเจอหน้าจอเหมือนในรูปนะครับ ให้ทำการกด F2 เพื่อเลือก Theme
หลังจากเลือก Theme เสร็จเรียบร้อยแล้ว เดียวเรามาปรับความละเอียดของหน้าจอกันต่อครับ โดยให้เข้าไปแก้ไขที่ไฟล์ /etc/default/burg ซึ่งเราจะแก้กัน 2 จุด คือ
1. เอา # หน้า GRUB_DISABLE_LINUX_RECOVERY=”true” เพื่อไม่ให้แสดงตัวเลือก Recovery
2. ทำการแก้ไขความละเอียดของหน้าจอ โดยแก้ GRUB_GFXMODE=saved เป็น GRUB_GFXMODE=1366×768 (ความละเอียดของจอตัวเองเท่าไรก็ใส่ตามนั้นนะครับ ตรงนี้แนะนำให้พิมพ์ลงไปเองนะครับ ถ้าก๊อปปี้ไปอาจจะติดอักขระพิเศษไปด้วย อาจจะทำให้ผิดพลาดได้)
$ sudo nano /etc/default/burg
ส่วนรูปโลโกของ OS ต่างๆ ถ้าเราไม่ชอบอันที่เขาให้มา เราสามารถเข้าไปเปลี่ยนได้เองที่ /boot/burg/themes/icons นะครับ
หลังจากแก้ไขไฟล์เสร็จแล้วให้สั่ง
$ sudo update-burg
เพียงเท่านี้เราก็จะได้หน้าจอ Boot Loader ที่ดูดีขึ้นมาทันที อย่างของผมเลือก Theme refit และเปลี่ยนโลโกจาก Linux Mint เป็นรูปเพนกวินก็จะได้หน้าจอประมาณนี้ครับ
หากต้องการกลับไปใช้ GRUB ใหม่อีกรอบ ให้ใช้คำสั่งดังนี้ครับ
sudo grub-install /dev/sdb
]]>1. อันนี้พื้นฐาน สั่งดาวน์โหลดไฟล์แค่ไฟล์เดียว ใช้คำสั่ง wget แล้วตามด้วย URL ของไฟล์ที่ต้องการ
$ wget http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf
2. หากต้องการเปลี่ยนชื่อไฟล์ด้วยหละก็ให้เพิ่มออปชั่น -O เข้าไป
$ wget -O Cinnamon.pdf http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf
3. จำกัดความเร็วของการดาวน์โหลดด้วยออปชั่น –-limit-rate
$ wget --limit-rate=200k http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf
4. ถ้าหากว่าโหลดไฟล์ไม่เสร็จเครื่องหยุดทำงานไปก่อน ให้เพิ่ม -c เพื่อสั่งให้โหลดต่อจากของเดิม
$ wget -c -O Cinnamon.pdf http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf
5. สั่งให้โหลดเป็นแบ็คกราวโพรเซส โดยเพิ่มออปชั่น -b โดยตัว wget จะสร้างล็อกไฟล์ชื่อ wget-log ขึ้นมา เราสามารถดูว่าโหลดถึงไหนแล้วได้จากล็อกไฟล์นี้
$ wget -b http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf
ดูล็อกไฟล์ว่าดาวน์โหลดถึงไหนแล้ว
$ tail -f wget-log
6. สำหรับบางเว็บไซต์ถูกจำกัดว่าจะต้องโหลดจากบราวเซอร์บางตัวเท่านั้น ให้เพิ่มออปชั่น –-user-agent เพื่อกำหนดให้เป็นบราวเซอร์ที่ต้องการ
$ wget --user-agent="Mozilla/5.0 (X11; Linux x86_64) AppleWebKit/537.36 (KHTML, like Gecko) Chrome/39.0.2171.71 Safari/537.36" http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf
7. คราวนี้มาลองโหลดทีละหลายๆไฟล์บ้าง ให้ทำการใส่ชื่อ URL ที่ต้องการดาวน์โหลดไว้ในเท็กไฟล์ ในตัวอย่างผมตั้งชื่อว่า download-list.txt
download-list.txt
http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/english_17.0.pdf
http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/chinese_16.0.pdf
http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/dutch_17.0.pdf
http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/Cinnamon/german_17.0.pdf
จากนั้นสั่งดาวโหลดทีละหลายๆไฟล์โดยเพิ่มออปชั่น -i แล้วตามดวยชื่อเท็กไฟล์ที่เราได้สร้างเตรียมไว้
$ wget -i download-list.txt
8. ต่อไปมาลองดาวน์โหลดเว็บไซต์ทั้งเว็บมาเก็บไว้ดูในเครื่องกันบ้าง โดยใช้ออปชั่น –-mirror และ ./www-local คือไดเร็กทอรี่ที่ต้องการให้เก็บข้อมูล
$ wget --mirror -p --convert-links -P ./www-local http://www.lookhin.com
9. คราวนี้ถ้าเราอยากได้แค่ไฟล์ที่มีนามสกุล .pdf จากเว็บไซต์ทั้งเว็บ เราก็ใช้คำสั่ง -r –-no-parent -A และตามด้วยนามสกุลของไฟล์ที่ต้องการ
$ wget -r --no-parent -A.pdf http://www.linuxmint.com/documentation/user-guide/
10. หากต้องการดาวน์โหลดไฟล์จาก FTP ก็สามารถทำได้เช่นกัน
$ wget --ftp-user=USERNAME --ftp-password=PASSWORD ftp://ftp.yourdomain.com/document/linux.pdf
]]>
เริ่มแรกหาภาพที่จะเอามาใช้เป็น background กันก่อนครับ โดยให้ใช้เป็นภาพ .PNG ขนาด 640*480 pixel และสี 8-Bit อันนี้ภาพตัวอย่างของผมนะครับ ไฟล์ภาพตัวอย่าง
เมื่อได้ภาพที่ต้องการแล้วให้ทำการแก้ไขไฟล์ /etc/default/grub.d/50_linuxmint.cfg
$ sudo nano /etc/default/grub.d/50_linuxmint.cfg
ให้ทำการเพิ่มคำสั่ง GRUB_BACKGROUND เข้าไป โดยในตัวอย่างผมจะเอาภาพไปไว้ที่ /usr/share/backgrounds/linuxmint-qiana/grub-boot.png นะครับ
GRUB_BACKGROUND="/usr/share/backgrounds/linuxmint-qiana/grub-boot.png"
เมื่อทำการใส่ภาพพื้นหลังเรียบร้อยแล้ว เรามาจะทำการแก้ไขสีของตัวอักษรและสีพื้นหลังให้มันเข้ากับภาพที่เราใส่เข้าไปเมื่อสักครู่นี้
$ sudo nano /etc/grub.d/06_mint_theme
เพิ่มบรรทัดต่อไปนี้ลงไปในส่วนของ set_mono_theme() โดยมี format เป็น สีตัวอักษร/สีพื้นหลัง แต่เราถ้าใส่พื้นหลังเป็น black มันจะเป็น transparent นะครับ งงกับมันเหมือนกัน – -‘
set menu_color_highlight=black/green
set menu_color_normal=black/black
set color_normal=black/black
โดยสีที่เราสามารถใส่ได้มีทั้งหมดดังนี้
black
blue
brown
cyan
dark-gray
green
light-cyan
light-blue
light-green
light-gray
light-magenta
light-red
magenta
red
white
yellow
ขั้นตอนสุดท้ายสั่ง update-grub
$ sudo update-grub
เรียบร้อยแล้วครับ บูตเครื่องครั้งหน้าจะเจอกับหน้าจอ GRUB Bootloader ประมาณนี้ครับ
]]>
อย่างแรกทำการตรวจสอบก่อนว่าระบบของเราตั้ง Time Zone เป็นประเทศไทยแล้วหรือยัง ด้วยคำสั่ง
cat /etc/sysconfig/clock
จะเห็นว่า Time Zone ปัจจุบันของเราเป็น America/New_York ซึ่งจะทำให้เวลาไม่ตรงกับเวลาในประเทศไทย
ถ้าหากยังไม่ใช่ Time Zone ของประเทศไทย ให้ทำการเปลี่ยนด้วยการแก้ไข /etc/sysconfig/clock ให้เป็น ZONE=”Asia/Bangkok”
nano /etc/sysconfig/clock
จากนั้นทำการอัพเดท Time Zone ด้วยคำสั่ง
tzdata-update
และทำการตรวจสอบเวลาปัจจุบัน
date
หากต้องการตั้งเวลาใหม่ ให้ใช้คำสั่ง
date MMDDhhmmCCYY.ss
โดยความหมายของตัวอักษรแต่ละตัวดังนี้ครับ MM = month, DD = day, hh = hour, mm = minute, CCYY = 4 digit year, ss = seconds
ตัวอย่าง หากเราต้องการแก้ไขวันเวลาให้เป็นวันที่ 11 October 2014 เวลา 10.10 ก็จะสามารถสั่งได้ดังนี้
date 101110102014.00
หรือจะใส่แบบนี้ก็ได้เช่นกัน
date -s "10:10:00 October 11, 2014"
จากนั้นเรามาลองทำการตั้งเวลาของเครื่องโดยใช้ Network Time Protocol (NTP) กันต่อเลยครับ เริ่มจากติดตั้ง package ntp กันก่อน
yum install ntp
จากนั้นสั่งสตาร์เซอร์วิสและกำหนดให้ ntpd ทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง
service ntpd start
chkconfig ntpd on
เรียบร้อยครับ เท่านี้เครื่องของเราก็จะมีเวลาที่ตรงกับ NTP Server แล้วครับ
]]>
# useradd
เพิ่มยูเซอร์ใหม่ ถ้าเราใส่แค่ชื่อยูเซอร์ใหม่ที่ต้องการ ระบบจะสร้างกรุปใหม่ขึ้นมาให้ด้วย โดยชื่อกรุปจะเป็นชื่อเดียวกับชื่อยูเซอร์
# useradd lookhin1
เพิ่มยูเซอร์ใหม่และกำหนดโฮมไดเร็กทอรี
# useradd lookhin2 -d /var/www/html/lookhin2
เพิ่มยูเซอร์ใหม่และกำหนดโฮมไดเร็กทอรีและเชล
# useradd lookhin3 -d /var/www/html/lookhin3 -s /sbin/nologin
# passwd
เปลียนรหัสผ่าน
# passwd lookhin1
# chage
แสดงข้อมูลของผู้ใช้
# chage -l lookhin1
กำหนดวันหมดอายุของรหัสผ่านของผู้ใช้
# chage lookhin1
# usermod
เปลียนชื่อผู้ใช้ (ในตัวอย่างจะเปลียนจากชื่อ lookhin1 เป็น lookhin11)
# usermod -l lookhin11 lookhin1
เปลี่ยนกลุ่มของผู้ใช้ (เปลี่ยนกลุ่มของยูเซอร์ lookhin11 ไปเป็น newgroup)
# usermod -g newgroup lookhin11
# userdel
ลบชื่อผู้ใช้ออกจากระบบ แต่ไม่ต้องลบโฮมไดเร็กทอรีของผู้ใช้
# userdel lookhin11
ลบชื่อผู้ใช้ออกจากระบบและลบโฮมไดเร็กทอรีออกจากระบด้วย
# userdel -r lookhin2
# groupadd
เพิ่มกลุ่มใหม่
# groupadd testgroup
# groupdel
ลบกลุ่ม
# groupdel testgroup
# su
เปลี่ยนสิทธิ์เป็นยูเซอร์ root (ในตัวอย่างเราเป็นยูเซอร์ธรรมดาอยู่ เมื่อใช้คำสั่ง su – และใส่รหัสผ่านของ root เราก็จะเปลี่ยนตัวเองเป็น root)
$ su -
เปลี่ยนสิทธิ์เป็นยูเซอร์คนอื่นในระบบ (ถ้าเราเป็น root อยู่ในระบบ เราสามารถเปลียนตัวเองไปเป็นยูเซอร์คนไหนในระบบก็ได้)
# su hin
บทความนี้เป็นบทความสุดท้ายในซีรี CentOS Server ซึ่งเริ่มเขียนบทความซีรีนี้ครั้งแรกตั้งแต่ มกราคม 2555 จนตอนนี้ มกราคม 2556 ใช้เวลา 1 ปีพอดี นานมากๆ ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องต่างๆ ดังนี้
* CentOS Minimal Installation
* Web Server: Apache and PHP
* Virtual Host On Apache Web Server
* Software Package Management By YUM , RPM , Source
* Secure Web Server : Apache & Mod SSL
* Database: MySQL & PHP MySQL Extension
* Database: Oracle & PHP OCI8 Extension
* Mail Server: Postfix
* DNS Server: BIND
* FTP Server: ProFTPD
* User & Group Management