49 Responsed To This Post
mygif_alt
LookHin Says, in 8-6-2008 at 22:58:58 from 58.8.105.175    

สวรรค์ชั้น 7 ของพี่เจ ไม่มีนะจ้ะ ^_^

mygif
หลิน น้อย Says, in 8-7-2008 at 22:23:12 from 125.25.139.243    

ขอละเอียดกว่านี้หน่อย อันนี้เคยรุ้แล้ว่อะเอาลึกๆ อยากเป็นเทวดา ควรจะรุ้ไว้ก่อนนะ หุหุ

mygif_alt
Chatsiri Says, in 8-9-2008 at 03:58:09 from 203.130.139.215    

ชั้นไหนมีนางฟ้าเยอะ ๆ จะไป ^ ^

mygif
LookHin Says, in 8-13-2008 at 11:06:51 from 58.8.106.27    

ตอบคุณ Chatsiri :
แนะนำสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครับ เพราะขนาดพระอินทร์ยังมีเมียถึง 4 องค์ สนมอีก 4 หมื่นองค์
ก็คงจะมีนางฟ้า หลงเหลือมาถึงเทพอื่นๆๆๆบ้างแหละ หุหุ

ตอบคุณ หลิน น้อย :
ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำบุญด้่วยอะไร แต่ถ้าเราทำบุึญด้วยกันอาจได้รู้จักกันอีก…

mygif_alt
ผ่านมาตอบ Says, in 8-20-2008 at 21:06:24 from 58.8.107.236    

วิธีไปสวรรค์ มี 2 วิธี
1. ทำดี
2. มีเซ็กส์ (อันนี้ได้ไปถึงชั้น 7 ด้วย 55555555555)

mygif
LookHin Says, in 8-21-2008 at 09:58:52 from 58.8.107.79    

เห็นด้วยๆๆๆๆ หุหุ

mygif_alt
Add Says, in 8-21-2008 at 10:00:21 from 125.24.192.231    

ก็สวรรค์ชั้น 7 เซ๋ ก็สวรรค์ชั้นเจ็ดน่า … = =

mygif
LookHin Says, in 8-27-2008 at 19:42:43 from 58.8.103.91    

พึงคิดได้ว่าสวรรค์ชั้น 7 ยังไม่มีชื่อ ขอตั้งให้เลยแล้วกันว่า “กามาวดี” หุหุ

mygif_alt
LookHin Says, in 10-29-2008 at 11:55:46 from 58.8.109.184    

เมื่อสวรรค์ชั้น 7 มีชื่อแล้ว ก็ต้องมีผู้ปกครองด้วย ตั้งชื่อให้เลยแล้วกันว่า “ท้าวมหาอึด”

mygif
dada Says, in 1-7-2009 at 11:08:24 from 118.173.149.116    

ความรู้ดีๆๆแบบนี้มีน้อยนะคะ

mygif_alt
สาธุ Says, in 5-5-2009 at 13:30:11 from 125.26.188.111    

หากใครอยากเสวยทิพยสมบัติจริงๆต้องมั่นเพียรสร้างความดีนะ ละเว้นละอายต่อบาป และนั่งสมาธิเข้าฌาณ แค่นี้ก็สามารถไปเกิดในภพภูมิสูงๆได้แล้วล่ะ ยิ่งใกล้นิพพานยิ่งดี

mygif
s Says, in 9-4-2009 at 21:27:38 from 112.142.8.238    

จตุมหาราชิกาสวรรค์ชั้นแรก เทวดาชั้นนี้จะมีอายุ 500 ปี ทิพย์ ( ประมาณ 9 ล้าน ปี มนุษย์ ) อืม…

mygif_alt
แมว Says, in 4-21-2010 at 15:33:52 from 124.157.147.82    

ถ้าเป็นพระโสดาบัน (โกลังโกละ) และได้ ทุติยฌาณ (รูปฌาณขั้นที่ 2)ตายแล้วไปไหนครับ ขอคำตอบจากผู้ที่รู้จริงนะครับ?

mygif
แมวเป้า Says, in 4-21-2010 at 16:04:21 from 124.157.147.82    

ผมค้นมาแล้ว คาดว่า ชาติหน้าผมคง “รูปพรหมชั้นที่ ๕ อัปปมาณาภาภูมิ มีรัศมีและความสว่างหาที่สุดมิได้” เพราะสำเร็จทุติยฌาณขั้นกลาง คือปีติ สุข และเอกัคคตา ตัดวิตกและวิจารณ์ได้ อันนี้ว่ากันตามตำรานะครับ หรือท่านผู้รู้ท่านใดมีความเห็นเป็นอย่างอื่นเชิญนะครับ ยินดีรับฟังครับ แต่ขอสุภาพนะครับ…………

mygif_alt
LookHin Says, in 4-21-2010 at 16:28:50 from 203.155.28.2    

นานๆจะมีคนผ่านมาหน้านี้สักที เนื้อหาใน web นี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง เทคโนโลยี เรื่องคอมพิวเตอร์ แต่ผมสนใจเรื่องศาสนาเป็นพิเศษ เลยเอาเรื่องที่ได้อ่านได้รู้มาเล่าให้ฟังเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้มากมายแต่อย่างใด แต่ผมก็ได้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาให้เหมือนกัน http://th.wikipedia.org/wiki/พรหมภูมิ อย่างที่ท่านแมวป่า ว่า ถ้าได้ ทุติยฌาณ แล้วถ้าจากโลกนี้ไปก็อาจจะได้อยู่ใน รูปพรมหม ชั้นที่ 4 , 5 , 6 ขึ้นอยู่กับขั้นที่ได้อีกว่าได้มากขนาดไหน

mygif
LookHin Says, in 4-21-2010 at 16:45:40 from 203.155.28.2    

อีกนิด โดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อในเรือง นรก สวรรค์ แต่อย่างใด ผมคิดว่าข้อมูลต่างๆเหล่านีได้รับการสืบทอดมาจาก พราหมณ์-ฮินดู เข้ามาในพระพุทธศาสนามากกว่าจะเป็นเรื่องที่มาจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ผมมองเรื่องต่างๆพวกนี้ในฐานะนักประวัติศาสตร์ ที่วัฒนธรรมหนึ่งจะได้รับการถ่ายทอดไปยังอีกวัฒนธรรมหนึ่งเสมอ อาจจะมีการเปลียนรูปไปบ้าง แต่โดยเนื้อแล้วก็ยังคงเดิมอยู่มาก

mygif_alt
แมวเป้า Says, in 4-22-2010 at 15:18:26 from 124.157.148.176    

ขอบคุณครับคุณ LookHin ที่กรุณาตอบ ขอบคุณครับ ส่วนเรื่องนรกสวรรค์นั้น ในฐานะที่ผมอ่านพระไตรปิฎกมาพอสมควร ยืนยันได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้จริงๆครับว่านรกสวรรค์มีจริง ในพระไตรปิฎกก็ระบุไว้ครับ ไม่เชื่อคุณ LookHin ลองไปอ่านดูในพระไตรปิฎกก้ได้นะครับ ถ้าคุณอยู่ในกรุงเทพผมแนะนำให้เดินทางไปอ่านที่สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ก็ได้นะครับ ที่นั่นมีพระไตรปิฎก อยู่ที่หมวดอ้างอิงครับ…..

mygif
LookHin Says, in 4-22-2010 at 15:28:57 from 203.155.28.2    

^_^

mygif_alt
Ram1 Says, in 9-24-2010 at 11:51:09 from 118.100.163.254    

ตามที่ LookHin กล่าวนั้นมันเป็นความเชื่อส่วนตัวว่านรกสวรรค์ไม่น่าจะมีจริง แน่นอนในเมื่อคนเราเกิดมาปลูกฝังอบรมมาไม่เหมือนกัน แต่ส่วนตัวผมแล้วสวรรค์นรกมีหรือไม่นั้น ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรากำลังทำดีพอแล้วหรือยัง พุทธศาสนาเชื่อว่าถ้าทำดีเมื่อตายลงได้ไปเกิดในสวรรค์แน่นอน ส่วนคนทำชั่วก็ไปอบายภูมิ ภูมิที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาณ ไม่บังคับให้ใครเชื่อว่านรกหรือสวรรค์มีจริง ท่านจะเลือกเอาแบบไหน ก็เลือดได้ตามสบาย แต่ผมขอปลอดภัยไว้ก่อน ทำดีไว้เยอะๆ จะได้ไปเิกิดในสวรรค์ ดีกว่าจะไปเกิดในนรก 555555

mygif
LookHin Says, in 9-24-2010 at 12:11:22 from 203.155.28.2    

หัวใจพุทธศาสนาสอนเรื่องอนัตตา

mygif_alt
pui1100xx Says, in 9-29-2010 at 16:59:15 from 118.172.136.24    

..

mygif
pui1100xx Says, in 9-29-2010 at 17:46:50 from 118.172.136.24    

หัวใจพระพุทธศาสนา คือ การรู้แจ้งใจอริยสัจ หรือ ในกายใจเรานี่เอง ตามหลักทางแหล่งไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ผู้ใดรู้แจ้งในอริยสัจแล้ว จะได้เป็นพระอรหันต์
ทางสายเดียวคือปฏิบัติด้วยตนเอง ตามแนว สติปิฏฐาน 4 วิปัสสนากรรมฐาน
การอ่านจากตำราหรือฟังตามการมาเป็นเพียงความจำไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง
ความรู้ทางโลกเช่นจบปริญญา เป็นเพียงความรู้ที่จะนำมาเลี้ยงกาย ให้พ้นไปเพียงชาติหนึ่งเท่านั้น (ถ้าท่านเป็นมนุษย์)

***ผู้มีปัญญาย่อมอย่าเชื่อหรือไม่เชื่อจนกว่าจะพิสูจน์ด้วยตนเองเสียก่อน

ผมพิสูจน์มาแล้วด้วยตนเอง เป็นเวลากว่า 1 ปี รวมทั้งในช่วงบวชเรียน

http://buddha-thushaveiheard.com สำหรับผู้ที่สนใน อนิเมชั่น 3D นะครับ ประวัติพระพุทธเจ้า

ขอให้ทุกท่านมีความสุขนะครับ

mygif_alt
pui1100xx Says, in 9-29-2010 at 17:51:46 from 118.172.136.24    

และจะพากเพียรต่อไปจนถึงที่สุดแห่งทาง ตราบจนหมดลมหายใจในชาตินี้

mygif
LookHin Says, in 9-29-2010 at 17:56:41 from 203.155.28.2    

ขอบคุณที่แวะมา แนะนำ/แบ่งปัน ความรู้/ประสบการณ์ ดีๆครับ ^^

mygif_alt
AFITI Says, in 11-25-2010 at 15:20:17 from 110.164.162.145    

แมว Says, in 4-21-2010 ถ้าเป็นพระโสดาบัน (โกลังโกละ) และได้ ทุติยฌาณ (รูปฌาณขั้นที่ 2)ตายแล้วไปไหนครับ ขอคำตอบจากผู้ที่รู้จริงนะครับ?

mygif
AFITI Says, in 11-25-2010 at 15:36:38 from 110.164.162.145    

ด้านบนแค่ลองดูว่า ใช้ได้ไหมแค่ทดสอบ
ถึงคุณแมว
//-จากคำถามว่า”
ถ้าเป็นพระโสดาบัน (โกลังโกละ) และได้ ทุติยฌาณ (รูปฌาณขั้นที่ 2)ตายแล้วไปไหนครับ ขอคำตอบจากผู้ที่รู้จริงนะครับ?
//-”
ตอบ
1.ไม่ว่าจะเป็นพระโสดาบันชาติที่เท่าไหร่ก็ตาม หากบรรลุทุติยฌานแล้วตาย ก็จะไปเกิดในพรหมโลกชั้น ทุติยฌานเหมือนคนธรรมดาทั่วไปนั่นแหล่ะครับ แต่ความปราณีต และความมีทิฏฐิสมบัติจะแตกต่างไปจาก พรหมทั่วๆ ไปที่ บรรลุเพียง ทุติยฌานเท่านั้น ซึ่งเมื่อฌานเสื่อมแล้ว ต้องกลับไปเกิดเป็นมนุษย์ ทำดี ทำชั่วไปอีกนาน

ส่วนพระโสดาบันถ้าทำความเพียรจนบรรลุอนาคามี ถ้าบุญในทุติยฌานหมดลงก็จะไปจุติที่ สุทธาวาสพรหม ตามความแก่กล้าแห่งอินทรีย์(สมาธินทรีย์ ปัญญานินทรีย์)

แต่ถ้าทำความเพียงบรรลุเพียงพระสกทาคามี เมื่อหมดบุญในพรหมโลกชั้นทุติยฌานแล้ว ก็จะกลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกเพียงชาติเดียว ก็จะได้เป็นพระอรหันต์ปรินิพพานในชาตินั้นเลย

ในกรณีที่อยู่บนพรหมโลกชั้นทุติยฌานแต่ไม่ได้บรรลุคุณวิเศษอันใดเลย เมื่อบุญในพรหมโลกหมดแล้วก็จะกลับไปเกิดในตระกูลสูง ๆ เท่านั้น อย่างน้อย อีกสอง หรือ สามชาติ ก็จะได้บรรลุพระอรหันต์ แต่ก็จักไม่เกิน 6 ชาติ เพราะถือเอาการเกิดบนพรหมโลกชั้นทุติยฌานเป็น ภพที่ 1

หวังว่าคงจะเข้าใจตามที่ต้องการแล้วน่ะครับ
Note.
1.คำว่า “โกลังโกละ” หมายถึงสภาพที่พระโสดาบันต้องถึง คือบางคนเกิด 2 ชาติบ้าง 3 บ้าง ก็ได้เป็นพระอรหันต์ พูดง่าย ๆ คือไม่เกิดซ้ำในที่เดิม ๆ (หรือผู้ไปจากตระกูล สู่ตระกูล) หมายความว่า จากเป็นนายอำเภอก็เป็น ผู้ว่า เป็น อธิบดี เป็น ปลัดกระทรวง เป็นรัฐมนตรี เป็นนายก (เป็นกษัตริย์)จะไม่เวียนกลับไปในฐานะอันต่ำ มีแต่สูงโดยส่วนเดียว ชื่อพระโสดาบัน
2. ด้วยวิบากคือกรรมกิเลสที่เหลืออยู่เพียงนิดหน่อย แค่เพียงเม็ดทราบนั้นทำให้ท่านต้องเวียนเกิดอีกอย่างน้อย 2 ชาติ หรือ อย่างมากก็ 7 ชาติแต่จะไม่เกินนี้ แล้วก็ปรินิพพานในที่สุดครับ
——
ทั้งหมดนี้คือไวพจน์ของ พระโสดาบันครับ
บทความโดย ธมฺมวโรภิกฺขุ

mygif_alt
(ผู้ไม่ประสงค์เอยนาม) Says, in 2-2-2011 at 19:48:43 from 124.121.175.180    

เรื่องของสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น

เทวภูมิ ๖ (สวรรค์ ๖) แดนอันแสนดีเลิศล้ำด้วย กามคุณ ทั้ง ๕ โลกของ เทวดา ตามปกติหมายถึง กามาพจรสวรรค์

๑.จาตุมหาราชิการ (สวรรค์ชั้นที่ ๑) สวรรค์ที่ท้าวมหาราช ๔ องค์ ปกครอง

จาตุมหาราชิกา มีมหาราช ๔ องค์

๑. ท้าววธตรัฐะ มหาราช เป็นผู้ปกครอง คันธัพพเทวดา ทั้งหมด อยู่ทาง ทิศตะวันออก

๒. ท้าวิรุฬหกะ มหาราช เป็นผู้ปกครอง กุมภัณฑ์เทวดา ทั้งหมด อยู่ทาง ทิศใต้

๓. ท้าววิรูปักษ์ มหาราช เป็นผู้ปกครอง นาคะเทวดา ทั้งหมด อยู่ทาง ทิศตะวันออก

๔. ท้าวเวสสุวรรณ มหาราช เป็นผู้ปกครอง ยักขเทวดา ทั้งหมด อยู่ทาง ทิศเหนือ

(ท้าวกุเวร หรือ เวสสวัณ)

ท้าวมหาราช ทั้ง ๔ องค์นี้ เป็นผู้รักษาโลกมนุษย์ด้วย จึงชื่อว่า ท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวโลกบาล ๔

พระเจ้าพิมพิสาร เอง แม้จะเป็น พระโสดาบัน แต่ก็พอใจสวรรค์ชั้นนี้

ได้เกิดเป็นบริวารของ ท้าวเวสสุวรรณมหาราช

เทวดาที่อยู่ภายใต้อำนาจปกครองของ ท้าวจาตุมหาราช

๑. ปัพพตัฏฐเทวดา เทวดาที่ อาศัยภูเขาอยู่

๒. อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่ อาศัยอยู่ในอากาศ

๓. ขิฑฑาปโทสิกเทวดา เทวดาที่ มีความเพลิดเพลินในการเล่นกีฬา จนลืมบริโภคอาหาร แล้วตาย

๔. มโนปโทสิเทวดา เทวดาที่ ตายเพราะความโกรธ

๕. สีตวลาหกเทวดา เทวดาที่ ทำให้อากาศเย็นเกิดขึ้น

๖. อุณหวลาหกเทวดา เทวดาที่ ทำให้อากาศร้อนเกิดขึ้น

๗. จันทิมเทวปุตตเทวดา เทวดาที่ อยู่ในพระจันทร์

๘. สุริยเทวปุตตเทวดา เทวดาที่ อยู่ในพระอาทิตย์

ยักษิณี นางยักษ์

ยักษ์ มีความหมายหลายอย่าง แต่ที่ใช้บ่อยหมายถึง อมนุษย์ พวกหนึ่ง เป็นบริวารของ ท้าวกุเวรตามที่ถือกันมาว่ามีรูปร่างใหญ่โตน่ากลัง มีเขี้ยวโง้ง ชอบกินมนุษย์กิสัตว์ โดยมามีฤทธิ์ เหาะได้ จำแลงตัวได้

เทวดา หมู่ เทพ ชาว สวรรค์ เป็นคำรามเรียกชาว สวรรค์ ทั้งเพศชายและเพศหญิง

เทวดาตามที่อยู่อาศัย

๑. ภุมมัฎฐเทวดา เทวดาที่อาศัยอยู่ตามพื้นดิน เช่น ภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร ใต้พื้นดิน บ้านเรือน ซุ้มประตู เจดีย์ ศาลา เป็นต้น ถือว่าที่นั้น ๆ เป็นวิมานของตน

๒. รุกขเทวดา เทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ มี ๒ จำพวก คือ

๒.๑ มีวิมานอยู่บนต้นไม้ ถ้าอยู่บนยอดต้นไม้ เรียก รุกขวิมาน

ถ้าอยู่บนสาขาของต้นไม้ เรียก สาขัฏฐวิมาน

๒.๒ อยู่บนต้นไม้แต่ไม่มี วิมาน (ที่อยู่ของเทวดา)

๓. อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่มีวิมานอยู่ในอากาศ

ในธรรมบทอรรถกถา พุทธวังสอรรถกถา แสดงเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกา มี 2 จำพวก โดยจัด

รุกขะเทวดา อยู่ในจำพวก ภุมมัฎฐะเทวดา เทพารักษ์ เทวดาผู้ดูแลรักษาที่แห่งใดแห่งหนึ่ง

เทวดาที่มีใจโหดร้าย

๑. คันธัพโพ คันธัพพี ได้แก่ เทวดาคันธัพพะ ที่ถือกำเนิดภายในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม ที่เรียกว่า นางไม้ หรือแม่ย่านาง

หรือ คนธรรพ ชอบรบกวนให้เกิดอุปสรรคต่าง ๆ เช่นทำให้เกิดเจ็บป่วย หรือ

หรือ คนธรรพ์ ทำ อันตรายแก่ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นที่นำไม้นั้นมาใช้สอย อยู่ในความ

ปกครองของ ท้าวธตรัฏฐะ คันธัพพะเทวดา นี้สิงอยู่ในไม้นั้นตลอดไป

แม้ใครจะตัดไปใช้สอยอย่างใด ๆผิดกับ รุกขเทวดา ที่อาศัยอยู่ตามต้น

ไม้ถ้าต้นไม้นั้นตายหรือถูกตัดฟัน ก็ย้ายจากต้นนั้นไปต้นอื่น

๒. กุมภัณโฑ กุมภัณฑี ได้แก่ เทวดาภุมภัณฑ์ ที่เรียกกันว่า รากษส เป็นเทวดาที่รักษาสมบัติต่าง ๆเช่นแก้วมณี

และรักษาป่า ภูเขา แม่น้ำ ถ้ามีพวกล่วงล้ำ ก็ให้โทษต่าง ๆอยู่ใน

ความปกครองของ ท้าววิรุฬหกะ

๓. นาโค นาคี ได้แก่ เทวดานาค ได้แก่เทวดานาค มีวิชาเวทมนต์คาถาต่าง ๆ ขณะท่องในโลกมนุษย์ บาง

ทีก็เนรมิตเป็นคนสัตว์ต่าง ๆ ชอบลงโทษพวกสัตว์นรก อยู่ในความ

ปกครองของ ท้าววิรูปักขะ

๔. ยักโข ยักขนี ได้แก่ เทวดายักษ์ พอใจเบียดเบียนสัตว์นรก อยู่ในความปกครองของ ท้าวเวสสุวรรณ

อาการเกิดของเทวดา ถ้าได้เคยสร้างบุญกุศลไว้มากกพอ ก็ไปเกิดในวิมานของตนเองพร้อมกับมีบริวาร ไม่ต้องเป็น

บุตรธิดาหรือเทวดารับใช้ของผู้ใด

กล่าวไว้ในอรรถกถาบางแห่งเป็นพิเศษ เทวบุตร คือ บุรุษ ที่เกิดบนตักของเทวดา

เทวธิดา คือ สตรี ที่เกิดบนตักของเทวดา

เทวดาสตรี ถ้าเกิด ในที่นอน จัดเป็น ปริจาริกา (นางบำเรอ)

ถ้าเกิด ข้างที่นอน จัดเป็น พนักงานเครื่องสำอาง

ถ้าเกิด กลางวิมาน จัดเป็น คนใช้

๒ ดาวดึงส์ (สรรค์ชั้นที่ ๒)

แดนแห่งเทพ ๓๓ มีจอมเทพชื่อ ท้าวสักกะ หรือที่เรียกว่า พระอินทร์ เป็นใหญ่สุด เมื่อพระอินทร์องค์หนึ่งสิ้นบุญ จุติ ไป ก็มีพระอินทร์อีกองค์หนึ่งเกิดสืบแทนกันไป ดาวดึงส์ เป็นคำบาลีแปลว่า ๓๓ บางทีก็เรียก ไตรตรึงษ์ ซึ่งเป็นคำสันสกฤต แปลว่า ๓๓ เหมือนกัน

ความเป็นอยู่ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ล้วนแต่เป็นผู้เสวยทิพยสมบัติจากกุศลธรรมในอดีต บริโภคอาหารอันละเอียดสุขุม ชนิดที่เป็น สุธาโภชน์ (ผู้บริโภคอาหารทิพย์) อารมณ์ที่ได้รับจึงล้วนมีแต่ อิฏฐรมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา) และไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีอุจจาระ ปัสสาวะ เทวดาผู้ชาย มีความเป็นหนุ่มอยู่ในวัย ๒๐ ปี ส่วนเทวดาผู้หญิงมีความเป็นสาวอยู่ในวัย ๑๖ ปี สวยงามตลอดไปจนตาย มิได้มีความชรา เทวดาผู้หญิงไม่มีประจำเดือนและไม่ต้องมีครรภ์ เว้นแต่ ภุมมัฏฐเทวดา บางองค์ที่ยังมีประจำเดือน และครรภ์เหมือนมนุษย์ความเป็นอยู่ของเทวดาในเทวโลกนี้ เป็นเช่นเดียวกับมนุษย์โลก มีการไปมาหาสู่กันและเบียดเบียนกัน มีความรักใคร่ ปรารถนาเป็นคู่ครองกัน สมบัติของเทวดาเหล่านั้น มีความยิ่งหย่อนกว่ากัน ทั้งบริวาร วิมานและ อิฎฐรมณ์ ต่าง ๆ สุดแต่กรรทที่ตนได้กระทำไว้

โกสิยเทวราช คือ พระอินทร์ เรียก ท้าวโกสีย์ บ้าง ท้าวสักกเทวราช บ้าง

เทวดาที่อยู่บนชั้นดาวดึงส์ มี ๒ พวก

๑. ภุมมัฏฐเทวดา ได้แก่ พระอินทร์ และเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ๓๒ องค์ พร้อมทั้งบริวาร เทวอสุรา

๕ จำพวก

๒. อากาสัฏฐเทวดา ได้แก่ พวกเทวดาที่อยู่ในวิมานลอยไปกลางอากาศ

เทพ เทพเจ้า เทวดา

เทพ ๓

๑. สมมติเทพ เทวดาโดยสมมติ ได้แก่ พระราชา พระเทวี และพระราชกุมาร

๒. อุปปัตติเทพ เทวดาโดยกำเนิด ได้แก่เทวดาใน กามาวจรสวรรค์ และ พรหม ทั้งหลาย เป็นต้น

๓. วิสุทธิเทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ ทั้งหลาย

สุขาวดี แดนที่มีความสุข เป็นชื่อสวรรค์ของพระอมิตาภพุทธ ฝ่ายมหายาน

๓. ยามา (สวรรค์ชั้นที่ ๓)

แดนแห่งเทพผู้ปราศจากความทุกข์ มี ท้าวสุยามเทพบุตร ปกครอง ตั้งแต่ภูมิยามานี้ขึ้นไปตั้งอยู่ในอากาศ จึงไม่มีเทวดา ภุมมัฏฐเทวดา อาศัยอยู่ มีแต่พวก อากาสัฏฐเทวดา พวกเดียว ร่างกายสวยงามประณีต อายุยืนยาวกว่าเทวดาชั้น ดาวดึงส์ มากเป็นภูมิที่สวยงามประณีต ปราศจากความยากลำบาก ไม่มีเรื่องทุกข์ ได้แก่ที่อยู่ของพวกที่รักษา อุโบสถในชั้นฟ้านี้ไม่เห็นพระอาทิตย์เลย เพราะว่าอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์มากแต่เทพชั้นนี้เห็นกันได้ด้วยรัศมีแก้ว และด้วยรัศมีของเทพเองจะรู้ว่ารุ่งหรือค่ำด้วยอาศัยดอกไม้ทิพย์ คือ เมื่อเห็นดอกไม้บานจึงรู้ว่ารุ่ง เมื่อเห็นดอกไม้หุบจึงรู้ว่าค่ำ เทพชั้นยามยามาไม่ปรากฏว่าได้ลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์

๔. ดุสิต (สวรรค์ชั้นที่ ๔)

แดนแห่งเทพผู้เอิบอิ่มด้วยสิริสมบัติของตน มี ท้าวดุสิตเทวราช ปกครอง เป็นภูมิของเทวดาผู้อิ่มเอิบด้วยบารมี ผู้มีปัญญา ผู้อยู่ในภูมินี้จึงมีแต่ความชื่นบาน มีวิมานทิพย์ ทิพย์สมบัติ ร่างกายประณีตกว่าเทวดาในชั้น ยามา เป็น ภพ สุดท้ายของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทุกพระองค์ก่อนที่จะมาบังเกิดและตรัสรู้ในมนุษย์โลก

ทิพย์ เป็นของเทวดา วิเศษ เลิศกว่าของมนุษย์

๕. นิมมานรดี (สวรรค์ชั้นที่ ๕)

แดนแก่งเทพผู้ยินดีในการนิรมิต มีท้าวสุนิมมิต หรือ นิมมิตเทวราช ปกครองเทวดาชันนี้ปรารถนาสิ่งใด นิรมิตเอาได้ตามความพอใจของตน ไม่มีคู่ครองของตนเป็นประจำ เมื่อใดปรารถนาใคร่เสพ กามคุณ เวลานั้นก็ เนรมิต เทพบุตร หรือเทพธิดาขึ้นมาตามความปรารถนา และเมื่อใดได้เพลิดเพลินกับ กามคุณ นั้นสมใจแล้ว กามคุณ ที่เนรมิตขึ้นมานั้นก็จะอันตรธานหายไป

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

กัมมัง เขตตัง กรรม เป็นเหมือนนา

วิญญาณัง พีชัง วิญญาณ เป็นเหมือนพืชที่หว่านลงในนา

ตัณหา สิเนโห ตัณหา เหมือนยางเหนียวมีอยู่ในพืช อันจะทำให้พืชนั้นปลูกงอกงามขึ้นได้

เพราะฉะนั้น เมื่อยังมี กรรม วิญญาณ และ ตัณหา อยู่ ก็ยังจะต้องไปเกิด

ในภพต่าง ๆ คือหมายความว่า ยังมี อวิชชา เป็นเครื่องกั้นอยู่ ยังมี ตัณหา

เป็น สังโยชน์ คือเครื่องผูกอยู่

๖. ปรนิมมิตวสวัตดี (สวรรค์ชั้นที่ ๖)

แดนแห่งเทพผู้ยังอำนาจให้เป็นไปในสมบัติที่ผู้อื่น นิรมิต (บันดาลให้เป็นขึ้นมีขึ้น) ให้

มีเทพเป็นราชาผู้ปกครองอยู่ ๒ ฝ่าย

ฝ่าย เทพยดา ปรนิมมิตรสวัตตีเทวราช ปกครองเทพไม่เป็นมาร

ฝ่าย มาร (๒) ปรนิมมิตวสวัตตีเทวราช (ชื่อเหมือนกัน)

หรือ พญามาราธิราช หรือ วสวัตตีมาร ปกครองเทพที่เป็นมาร

ฝ่ายมาร(๒) หรือเทวปุตตมาร

เป็น มิจฉาทิฎฐฺ เทวดา ที่ไม่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา มารนี้มีความกลัวเป็นข้อสำคัญอยู่ข้อหนึ่งว่าตนจะสิ้นอำนาจครอบครองโลกไม่ประสงค์ให้ใครทั้งนั้นบรรลุ มรรค ผล นิพพาน เพราะเมื่อผู้ใดพ้นโลก หมายถึงว่ามีจิตใจพ้นกิเลสดังกล่าว ผู้นั้นก็พ้นอำนาจของมารทั้งยังเป็นผู้คอยขัดขวางให้เกิดอุปสรรคต่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เสมอ เมื่อวันที่ พระพุทธองค์ เสด็จอออกบวช พญามารตนนี้ได้มาปรากฏตัว ยกมือห้ามว่าอย่าออกบวชเลย อีกไม่นานเท่าไรท่านก็จะได้เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงขับไล่ออกไป เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญ ทุกรกิริยา ก็มากระซิบบอกว่า บัดนี้พระองค์ก็บรรลุสัมโพธิญาณดังหวังแล้ว ปรินิพพาน เถอะพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระองค์จะไม่ ปรินิพพาน จนกว่า พรหมจรรย์ (การประพฤติธรรมอันประเสริฐ) ของพระองค์จะแพร่หลายมั่นคง ครั้นเมื่อเงื่อนไขทุกอย่างพร้อมแล้ว พญามารจึงเข้ามากราบทูลให้ ปรินิพพาน เท่ากับทวงสัญญาว่าบัดนี้ถึงเวลาที่พระองค์จะปรินิพพานแล้วพระพุทธองค์จึงทรง ปลงอายุสังขาร

พญามาราธิราช จะต้องทำบุญไว้มาก ไม่เช่นนั้นก็จะไม่บังเกิดในสวรรค์ชั้นสูงนี้ได้ภายหลังละ มิจฉาทิฏฐิ และกลับมาเลื่อมใสในพุทธศาสนา

เทวดาชั้นนี้ปรารถนาสิ่งใดไม่ต้องนิรมิตเอง มีเทวดาอื่นที่รับใช้เนรมิตให้ตามต้องการ เป็นภูมิที่มีความสุขและเพลิดเพลินมากเทวดาที่อยู่ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีนี้ไม่มีคู่ครองเป็นประจำโดยเฉพาะตน เป็นที่อยู่ของพวกที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นไว้มาก

ปลงอายุสังขาร ตกลงใจกำหนดการสิ้นสุดอายุ ตกลงพระทัยว่าจะ ปรินิพพาน

ปลงสังขาร ทอดอาลัยในกายของตนว่าจะตายเป็นแน่แท้แล้ว

ทุกรกิริยา การทำความเพียรอันยากที่ใคร ๆ จะทำได้ ได้แก่การบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรมวิเศษด้วยวิธีการทรมานตนต่าง ๆ เช่นกลั้นลม อัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) ปัสสาสะ(ลมหายใจออก) และอดอาหาร เป็นต้น เขียนเต็มเป็น ทุกกรกิริยา

เทวภูมิ หรือ ฉกามาพจรสวรรค์ ทั้ง ๖ ชั้นยังเกี่ยวข้องกับ กามคุณ

เทวภูมิ ๖ (ฉกามาพจรสวรรค์ ๖)

๑. จาตุมหาราชิกา มีเหมือนมนุษย์

๒. ดาวดึงส์ มีเหมือนมนุษย์

๓. ยามา มีแต่ กายสังสัคคะ (กายสังสัคคะ ความเกี่ยวข้องด้วยกาย การเคล้าคลึงร่างกาย)

๔. ดุสิต มีเพียงจับมือกัน

๕. นิมมานรดี มีเพียงยิ้มรับกัน

๖. ปรนิมมิตสวัตตี มีแต่มองดูกัน

ในเทวภูมิไม่มีสัตว์เดรัจฉาน และเมื่อต้องการจะมีม้ารถเทียม ก็จะมีเทพบุตรจำแลง กายของเทวดา เรียกว่าเป็นกายทิพย์ เป็นกายสว่างละเอียด ไม่มีปฏิกูล เกิดเป็น อุปปาติกะ คือ ผุดเกิดขึ้น มีตัวตนโตเต็มที่เลย แต่เป็น อทิสสมานกาย คือ การยที่ไม่ปรากฏแก่ตาคนในเทวภูมิบริบูรณ์ด้วยความสุข อายุก็ยืนยาว แก่เจ็บไม่ปรากฏตายก็ไม่ปรากฏซาก จึงเห็นทุกข์ได้ยาก

เทวดาจะจุตุ มี ๔ ประการ

๑. อายุขัย จุติเพราะสิ้นอายุ

ได้แก่ เทวดาที่ได้เคยสร้างกุศลมาก็ได้เสวยสมบัติทิพย์จนครบอายุทิพย์ในเทวโลกชั้นที่ตนอยู่นั้น ครั้นหมดอายุแล้วก็จุติ

๒. บุญญขัย จุติเพราะสิ้นบุญ

ได้แก่ เทวดาที่สร้างสมบุญกุศลไว้น้อย เมื่อกุศลผลบุญที่ได้กระทำไว้หมดสิ้นลงเสีย แต่ในระหว่างยังไม่ถึงอายุขัย จำต้องจุติไปเกิดที่อื่น เพราะหมดบุญแล้ว

๓. อาหารขัย จุติเพราะสิ้นอาหาร

ได้แก่ เทวดาบางจำพวกที่เสวยทิพย์สมบัติ จนลืมบริโภคสุธาโภชนาหารทิพย์อันเป็นปัจจัยแก่กาย และชีวิตถ้าแม้ว่าเขาลืมบริโภคภายหลังสักร้อยครั้งพันครั้ง ก็มิอาจจะซ่อมแซมให้ดีขึ้นมาใหม่

๔. โกธพลขัย จุติเพราะความโกรธ

ได้แก่ เทวดาบางจำพวกที่มีจิตริษยาหาเหตุพาล มีความโกรธในหัวใจ

จุตินิมิตของเทวดา ๕ ประการ นิมิตล่วงหน้า ซึ่งอุบัติเกิดแก่เทวดาผู้จะต้องจุติ

จุติ เคลื่อนจาก ภพ หนึ่งไปสู่ ภพ อื่น ตาย (ส่วนมากใช้กับเทวดา)

๑. ดอกไม้ทิพย์เครื่องประดับเหี่ยวแห้ง

๒. ผ้าทิพย์เครื่องประดับสำหรับองค์มีสีเศร้าหมอง

๓. มีเหงื่อไหลออกมาจากรักแร้

๔. ที่นั่งและที่นอนร้อนดุจมีไฟอยู่ภายใต้

๕. กายของเทวดาเหี่ยวแห้งเศร้าหมองหารัศมีเช่นก่อนไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยเนื้อตัวมือตีน มีความกระวนกระวายใจ

mygif
(ผู้ไม่ประสงค์เอยนาม) Says, in 2-2-2011 at 19:51:00 from 110.164.163.156    

อ่านด้านบนแล้ว อย่าลืมทำบุญนะ
ขอรับ

mygif_alt
(ผู้ไม่ประสงค์เอ่ยนาม) Says, in 2-2-2011 at 19:53:36 from 110.164.163.156    

อ่านด้านบนแล้ว อย่าลืมทำบุญนะ แล้วจักขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ขอรับ

mygif
flook Says, in 6-22-2011 at 17:16:01 from 115.67.167.45    

คนพวกนี้รู้สึกว่าจะลงไปอยู่ขุมนรกทั้งแปดซะแล้ว

mygif_alt
flook Says, in 6-22-2011 at 17:17:32 from 115.67.167.45    

โทดนะไม่ได้ว่าคนพูดดีแต่ว่าคนเยาะเย้ยสวรรค์

mygif
LookHin Says, in 6-22-2011 at 18:05:07 from 203.146.191.101    

อัตตา

mygif_alt
แมวเป้านุ่งยีนส์ Says, in 8-3-2011 at 20:43:33 from 183.88.95.134    

เรียนถามปัญหาจากท่านผู้รู้ครับ คือผมสงสัยเรื่องพรหมวิหารสี่ เราปฏิบัติต่อใคร กับทุกคนอย่างนั้นเลยเหรอครับ เช่น ศรัตรูเนี่ย หรือคนที่เราไม่ค่อยชอบขี้หน้า หรือคนที่เคยทะเลาะกับเรา เราจะวางอารมณ์พรหมวิหารสี่อย่างไรครับ และอีกเรื่องนึง เรื่องสันโดษ ซึ่งเป้นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา เราควรมีท่าทีอย่างไรต่อบุคคลอื่นในสังคมครับ ถ้าเรายึดหลักสันโดษแล้วเราไปทำงาน เราจะวางตัวอย่างไรต่อเพื่อนร่วมงาน ผมยังไม่ค่อยเข้าใจพรหมวิหารสี่กับสันโดษ ท่านผู้รู้ช่วยอธิบายด้วยนะครับ……….

mygif
มนต์ทิพย์ Says, in 8-4-2011 at 18:56:15 from 110.164.172.6    

ตอบคุณแมวเป้า..หลักธรรมพรหมวิหารสี่สามารถปฏิบัติได้ทุกคนครับ คือหลักเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เราปฏิบัติโดยทั่วไป แต่ถ้าเราไม่รักไม่ชอบหรือเคยทะเลาะกับเรามาก่อนเราก็วางอารมณ์เฉย วางใจกลางๆ ไม่ใช่หมายความว่าเราจะต้องไปเมตตากรุณาเสียทุกคน เราตั้งตนไว้ชอบและใช้สติปัญญาพิจรณาเรื่องการปฏิบัติพรหมวิหารสี่ เราคบบัณฑิต ไม่คบคนพาล ตามหลักมงคลสูตร ที่สำคัญอยู่ที่ใจครับ ถ้าเราเป้นคนดีการปฏิบัติตนของเราก้จะออกมาดีทั้งทางกาย วาจา ใจ คงเข้าใจนะครับ ส่วนเรื่องสันโดษหมายความว่าความสงัดใจครับ ใจเราสงัด เช่นนะ นั่งดื่มค็อกเทลล์อยู่ในผับ Heavy เปิดเพลง speed หรือ ROCK เราก็สงัดที่ใจ หูมันจะได้ยินเสียงดังๆ เพลงเขย่าประสาท กายจะไหวเอนไปตามจังหวะกลอง เป็นต้น เราก็สงัดได้ คือใจสงัด หมายความว่าใจเราปลงต่อความชั่วทั้งปวง กริยาอาการทางกายเราดิ้นเราโยกไปมันก็เป็นไปตามลำดับขั้นความสงบกายใจของเรา เวลาว่างจากการฟังเพลง เช่นเข้าห้องน้ำ เราล้างหน้าเราก้ภาวนาสัก 2-3 นาทีก้ได้ ตามประสบการณ์ของแต่ละคน หรือเรานั่งมองแดนเซอร์สวยๆ น่ารักๆ เราก็ภาวนาไปด้วยก็ได้ แต่อย่าให้เผลอสติ มีสติ(ความระลึกได้) สัมปะชัญญะ(ความรู้ตัวอยู่เสมอ) และอย่าคิดในทางอกุศล ส่วนเรื่องความสันโดษกับการวางตัวต่อเพื่อนฝูง เราก็ปฏิบัติตามปกติ ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแล้วเลิกคบเพื่อนเพราะคิดว่าเราจะสันโดษ ไม่ใช่ เราก็ยังทักทายเพื่อนฝูง เฮฮาปาร์ตี้ โทรศัพท์คุยกันหรือนัดเจอกันตามปกติ แต่สันโดษน่ะคือหมายถึงอารมณ์สงบ ใจสังดจากความชั่วทุกอย่าง เราประกอบแต่กรรมดี และหลักมนุษสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาคือหลักสังคหวัตถุ ๔ ได้แก่ ทาน ปิยะวาจา อัตถจริยา และสมานัตตา เราก็ปฏิบัติดังนี้ก็ได้ และอีกเรื่องที่ขอแนะนำ อย่าลืมทำบุญด้วยนะครับ……….

mygif_alt
มนต์ทิพย์ Says, in 8-4-2011 at 20:13:07 from 110.164.172.6    

อยากเป็นพระโสดาบันก็ต้องจิตใจสงัด สงัดจากอกุศลธรรม มองรูป-นามในโลกเป็นธรรมดา มันธรรมดาหมด บ้าน รถ เงิน อาหาร คน สัตว์ ภูเขา พระจันทร์ ต้นไม้ จานชาม เสื้อผ้า เป็นต้น พระโสดาบันมีอารมณ์ธรรมดาต่อสิ่งเหล่านี้ นี่ว่ากันทางด้านอารมณ์ ด้านจิตใจ ถ้าด้านปัญญาก็ภาวนา ละสักกายะทิฐฐิได้ก็พระโสดาบัน ระลึกถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เวลาอยู่ว่างๆก็ทำสมาธิบ่อยๆ ท่านก็จะได้ชื่อว่า “พระโสดาบัน”

mygif
วิวัฒน์เท่ห์ Says, in 8-5-2011 at 13:27:22 from 110.164.172.140    

ท่านที่เป็นมิจฉาทิฐฐิ ยกตัวอย่างเช่น มีความเห็นผิดในเรื่องการกระทำ ไม่เชื่อว่าทำดีย่อมได้ดี ทำชั่ว…………ได้ชั่ว มีมานะคือความตั้งตนไว้สูงเกินไป หยิ่งกระหยิ่มในรูปร่างหน้าตาตน ทั้งชายทั้งหญิง คนที่ชอบดูถูกคนเรื่องฐานะ ดูถูกสติปัญญา ดูถูกเรื่องการศึกษา เป็นผู้มีทิฐฐิคือยึดอะไรสักอย่างว่าความยึดของเรานั้นถูกต้อง คนอื่นผิด หรือคนที่ชอบทำผิดศีล ในทางพุทธก็เช่นศีล 5 ท่านอยากเป็นสัมมาทิฐฐิไหม ถ้าท่านเป็นมิจฉาทิฐฐิท่านก็จะกระทำอะไรที่ผิดต่อศีลธรรม ไม่ว่าจะศาสนาใดบนโลกนี้ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี รู้จักให้เกียรติ ให้อภัยเพื่อนร่วมโลก ถ้าท่านเป้นมิจฉาทิฐฐิแล้วอยากปรับเปลี่ยนเป็นสัมมาทิฐฐิ ลำดับแรกท่านก็ลองใช้กำลังใจตรวจสอบดูการกระทำของตน ทั้งทางกาย วาจา ใจ อะไรที่เราบกพร่องเราพอจะแก้ได้ไหม ต้องมีการให้กำลังใจตนเอง เช่น ทำบุญ สวดมนต์ โทรศัพท์คุยกับคุณพ่อคุณแม่ นัดเจอเพื่อนดูหนังกัน หรือคุณไปเดินห้าง หรือคุณไปเข้าในศาสนสถานที่คุณนับถือ(ศาสนาต่างๆ) เมื อคุรได้สติคุณก็ต้องเข้าใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ ให้มีหิริ โอตัปปะ คือความละอายในการทำชั่ว และเกรงกลัวในการทำบาป จิตใจต้องมีสติระลึกได้นะ จะมานั่งท่องนั่งสมาทานเฉยๆมันไม่ได้ผล มันอยู่ที่จิตใจ ถ้าเราระลึกรู้ว่าอะไรที่เป้นการกระทำที่เป็นบาป เราก็มีดำริที่จะละบาปนั้นเสีย ทำจิตใจให้สงัดจากบาป ตั้งใจที่จะประกอบกรรมดี ไม่ท้อถอย อาจจะไม่เห็นผลในเดือนสองเดือน แต่ทุกอย่างมันก้ต้องใช้เวลา ถ้าท่านมีความเพียร ความสงบสุขในชีวิต สิริ ลาภยศ สรรเสริญย่อมบังเกิดขึ้นเองโดยดี อะไรที่ผ่านมาแล้วเราก็ให้ผ่านไป เอามาเป็นครู แต่ไม่ต้องเสียกำลังใจ สู้ต่อไปเพื่อความสำเร็จในปณิธานแห่งตน ท้ายนี้ ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำใจให้งดงาม ประกอบแต่กรรมดี พยายามหลีกออกจากกรรมที่จะทำให้เราได้รับความไม่สบายใจ อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยความมีกำลังใจ เราก้จะได้ชื่อว่าเป็นสัมมาทิฐฐิ สุคติเป้นอันหวังได้……….

mygif_alt
ว่าน Says, in 8-6-2011 at 13:40:08 from 183.88.92.86    

พระท่านกล่าวว่า ธรรมทั้งหลายสำเร็จได้ด้วยใจ หมายความว่าจิตใจเป็นสิ่งที่เราควรปฏิบัติให้บริสุทธิ์ ใจสงัด พ้นจากอาสวะกิเลส เช่น ราคะ โทสะ โมหะ ราคะความกำหนัดยินดีละด้วยเจริญกาคตายสติ การพิจรณารูปกายที่เรารักเราหลงว่าสกปรก มีสิ่งปฏิกูลใหลเข้าไหลออก และในที่สุดก็ต้องแตกดับ พิจรณาทั้งที่กายเรากายเขา โทสะละด้วยสติ มีสติอยู่เสมอจะช่วยละความโกรธและความผูกโกรธได้ และฝึกละอาฆาต เราไม่อาฆาต เราควรตระหนักว่าแต่ละคนก็มีกรรมของตน เราจะไม่ทำร้ายใคร โมหะคือความหลงในรูปร่างกาย หรือหลงในความเป้นตัวตนของตนเอง ละด้วยภาคปัญญา พิจรณาขันธุ์ 5 ให้เห็นเป้นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ก่อนภาวนาทำสมาธิให้จิตใจสงบก่อน แล้วค่อยก้าวเข้าสู่ภาคปัญญา ถ้าถามว่าเพื่ออะไร ตอบว่าเพื่อความสุขในปัจจุบัน ความสุขในโลกนี้และโลกหน้า และเพื่อนิพพาน……….นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขสงัดพ้นจากกิเลส……….

mygif
ประวิทย์ Says, in 8-7-2011 at 13:48:22 from 110.164.172.111    

เอ๋อ…คือขออณุญาติแสดงธรรมนะครับ การปฏิบัติธรรมเราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เช่น ก็มี ไอ้เจ ไอ้เจอยู่วิศวะ (คงจะหล่อนะไอ้เจเนี่ย,…พี่นะ) มีไอ้อุทัย แล้วก้มีจีระเดช โหย! จีระเดชมันถีบตูดอุ้ยหัวชนฝาผนังโครม …จุ๊ๆ เดี๋ยวๆ “วิทย์นี้เยี่ยม”!

mygif_alt
ศรัณย์ Says, in 8-14-2011 at 12:17:52 from 183.88.92.239    

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายสำเร็จได้ด้วยใจ ใจนี้เป็นสิ่งสำคัญ เป็นตัวชี้วัดคุณความดี ความเป็นคนดีหรือไม่ดีได้เลยทีเดียว เพราะกรรมต่างๆใจเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ถ้าเรารู้จักบังคับใจให้อยู่ในศีลธรรม ไม่ก้าวล่วงธรรมที่มีโทษ ทำใจให้ปกติ ปกติในทางที่ดี เราจะได้ชื่อว่าเป็นคนดี คนดี เวลาทำสมาธิจิตจะไม่ห่างจากฌาณ เพราะคนดีคือคนที่มีศีล ศีลดีสมาธิย่อมบังเกิด เมื่อสมาธิเกิดทีนี้ออกภาคปัญญา ก็พิจรณาลงที่กาย ให้เห็นว่ามันอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา นี้แลทางบรรลุธรรม…

mygif
วิทย์ Says, in 8-16-2011 at 16:54:07 from 183.88.93.100    

ขอแนะวิธีปฏิบัติเพื่อเป็นพระโสดาบันครับ 1.ปรับจิตใจให้เป็นสัมมาทิฐฐิ 2.รักธรรมะ ชอบธรรมะ 3.มีดำริหรือชอบในการให้ทาน สำหรับบางท่าน ตั้งจิตดำริที่จะให้ทานจิตก็สามารถหลุดพ้นเป็นพระโสดาบันได้ 3.ถ้ายังไม่ได้ให้เน้นเรื่องศีล รักษาศีลให้บริสุทธิ์ รักษาออกมาจากจิตใจภายในอันแท้จริง 5.เป็นคนดี ดีที่จิตใจ 6.เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 6.ไม่ประมาท คิดไว้เสมอว่าเดี๋ยวเราก็ต้องตาย ตายแล้วเราขอไปนิพพาน 7.เห็นว่ารูปร่างกายมันตาย มันแก่ไปเรื่อยๆ มันเป็นอนัตตาคือเราบังคับมันไม่ให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือละสักกายะทิฐฐิได้ คือถือว่ากายไม่ใช่เรา เราไม่มีในกาย กายเราไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตาคือความไม่ใช่ตัวตน และสุดท้ายคือจิตใจสงัดจากกิเลส…

mygif_alt
เด็กดี Says, in 8-19-2011 at 13:40:40 from 183.88.51.43    

เรื่องที่ควรศึกษาในการบรรลุธรรม 1.พุทธประวัติ 2.ประวัติพระสาวกในสมัยพุทธกาล 3.ความหมายของวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา 4.โอวาทปาฏิโมกข์ 5.อนันตลักขณสูตร 6.ทิศทั้ง 6 7.โลกธรรม 8 8.กฏแห่งไตรลักษณ์ 9.อิทธิบาทสี่ 10.สังคหวัตถุสี่ 11.อริยสัจจ์สี่ 12.การทำสมาธิ 13.การภาวนา 14.สติปัฐฐานสี่ 15.พรหมวิหารสี่ และ 16.การสวดมนต์ ไม่ต้องเรียงตามลำดับก็ได้ แนะนำอย่างคนรู้น้อย ผิดพลาดประการใดขออภัยต่อท่านที่อ่านและขอขมาพระรัตนตรัยด้วยครับ……….

mygif
โต้ง Says, in 8-19-2011 at 16:29:13 from 183.88.51.43    

ไม่ติดในรูป ไม่ติดในนาม สมาธิฝึกบ่อยๆดี อยู่กับคำบริกรรม เช่นพุทธ-โธ ในสมัยพุทธกาลมีผู้ทูลถามพระอานนท์ว่า การทำสมถะกับวิปัสสนาอะไรก่อนหลัง ท่านตอบว่าอะไรก็ได้ ความสงบแห่งสมาธิเป็นบ่อเกิดปัญญา รู้ไตรลักษณ์ รู้ว่ารูปนามเป็นไตรลักษณ์ พยายามละอกุศลกรรม ตั้งจิตใจไว้ในทางกุศล ลงมือปฏิบัติ เช่น ทาน ศีล ภาวนา ก่อนนอนกราบพระที่หัวนอนก็เป็นสิ่งที่ดี และที่สำคัญ ดำริออกจากกาม เสพเพียงสนองความต้องการของขันธุ์หรือเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ไม่หมกมุ่น ไม่คิดไม่ปรุงเรื่องกามจนรกความคิด ถ้ามันไม่ไหวก็ช่วยตัวเอง ไม่ต้องเสียตังค์ไปเที่ยวหรือไปหมกมุ่นเป็นพันเป็นหมื่น ความสุขในชีวิตประจำวันหาได้ง่ายๆหลายๆอย่างเช่น อาบน้ำเย็นๆสบายๆ ทาแป้งเย็นๆสบายๆ ดื่มน้ำเปล่าเพื่อสุขภาพ จ่ายตลาด ทำกับข้าวกินเองเป็นบางครั้ง โทรศัพท์ขอเพลงกับพี่ๆดีเจ เล่นกล้องถ่ายรูปเพื่อถ่ายรูปสวยๆ เล่นเน็ท ดูทีวี ฟังวิทยุ ดูหนัง อ่านหนังสือ สวดมนต์ ขับรถเล่นหรือปั่นจักรยานเล่นในหมู่บ้าน คุยกับเพื่อน เข้าร้านเสริมสวยหรือร้านตัดผม ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ และกินอะไรอร่อยๆ เป็นต้น……….

mygif_alt
sorn42 Says, in 8-19-2011 at 16:39:49 from 203.209.79.206    

ความเชื่อหรือความจริง พุทธศาสนากล่าวจะจริงแค่ไหน มันอยู่ที่คนเลือกที่จะปฏิบัติรึยัง คนปฏิบัติมาดีแล้วย่อมเห็นในธรรม ถ้าผู้ไม่เห็นในธรรมอันพุทธองค์ทรงประกาศไว้แล้ว ก็เชื่อเถอะว่าท่านจะมีแค่ความเชื่อที่เลือนลางก็ได้ แต่เมื่อเราได้เห็นดั่งเช่นพุทธองค์สอนสั่ง เราก็ชื่อว่าผู้เห็นความจริงอันเป็นธรรมที่พุทธตรัสไว้แล้ว ผมเองค้นหาเพื่อจะได้หลุดพ้นกะเขาบ้าง แต่หนทางยังยาวไกล แต่อย่างน้อยเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมเชื่อแล้วว่าพุทธศาสนาสอนอะไรเรา เพียงแต่เรายังเดินไปไม่ถึงแค่นั้นเอง ติดอยู่ตัวเดียวคือตัวกิเลส ตัวมันใหญ่เกาะไม่ปล่อย

mygif
เด็กดี Says, in 8-27-2011 at 16:59:37 from 223.205.135.101    

คุณsorn42 ครับ ตัวกิเลสมันเป็นอกุศล เราก็เอากุศล จิตใจเราเอากุศล ตั้งจิตใจเป็นกุศล มีดำริในทางกุศล อย่าห่วงเรื่องเวลา อยู่กับปัจจุบัน ขอให้เรียนเก่งๆนะครับ……….

mygif_alt
ดีนส์ Says, in 9-5-2011 at 14:51:42 from 183.88.51.70    

แบ่งปันประสบการณ์ครับ เมื่อเช้านี้จิตใจหดหู่ เศร้า โดยไม่รู้สาเหตุ ก็เลยแก้โดยการภาวนา ตามที่เคยทำมาก่อนเวลาเกิดความเศร้าซึม โดยหายใจเข้าภาวนาพุทธ หายใจออกภาวนาโธ ก็คือทำอานาปานสตินั่นเอง ทำอยู่ประมาณ 15-20 นาที ปรากฏว่าได้ผลครับ อาการจิตใจหดหู่หายไป ท่านใดประสบปัญหาเดียวกับผมเอาวิธีนี้ไปใช้ก็ได้นะครับ……….

mygif
แป้งปุก Says, in 9-13-2011 at 13:03:47 from 183.88.88.57    

เทคนิคในการปฏิบัติธรรมนำมากล่าวแบ่งปันครับ คือพยายามละกิเลส 3 ตัวนี้ ได้แก่ 1.ราคะ 2.โทสะ 3.โมหะ ,ราคะคือความกำหนัดยินดี ทั้งเรื่องทางกามหรือความอยากตามกิเลสตัณหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ,โทสะคือความโกรธ ความขัดใจ(ตัวนี้ละยากมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ในบรรดากิเลสทั้งหลายทั้งปวง)และความอาฆาต อย่าไปอาฆาตใครเขา ให้เข้าใจว่า(ตามแนวพุทธ)คนเราต่างมีกรรมเป็นของตน เราไม่ต้องไปฆ่าไปแกงเขา เขาก็จะตายเอง เราไม่ต้องไปแช่งเขา เขาจะดีจะเลวเขาก้เป้นชีวิตของเขาเอง เราใช้หลักพรหมวิหารสี่ คือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในการปฏิบัติตน,โมหะคือความหลง หลงในโลกในวัตถุสิ่งของ เงิน บ้าน รถ ที่ดิน อาหารการกิน หรือภาษาธรรมคือหลงในขันธุ์ 5 ได้แก่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งราคะ โทสะ โมหะละได้ด้วยการทำกรรมฐาน ภาคสมถะกรรมฐานคือการทำสมาธิ และดูลมหายใจเข้าออก(อานาปานสติ) เพื่อให้เกิดความสงบ หลังจากจิตใจสงบแล้ว อารมณ์สงบแล้วเราก้าวสู่ภาคปัญญา พิจรณาเรื่องต่างๆขณะที่จิตใจมีสมาธิ นี้แลวิปัสสนากรรมฐาน เช่น การพิจรณารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา เมื่อภาวนาบ่อยๆจิตใจจะค่อยๆถูกขัดเกลา และบริสุทธิ์ขึ้นตามลำดับ ธรรมะนั้นเป้นของผู้มีความเพียร ต้องใช้เวลา ไม่ใช่อธิษฐานขอให้พระอรหันต์มาโปรด หรือเที่ยวขมากรรม หรือเที่ยวเสาะแสวงหาพระอริยะตามวัดต่างๆ คือทำก็ทำได้ แต่พระอริยะท่านก็ได้แต่เพียงแนะนำ ส่วนเราน่ะ เราต้องปฏิบัติเอง ปฏิบัติลงที่กาย วาจา ใจ ของเรา ก้คือสรุปว่าถ้าสนใจจะปฏิบัติธรรมก็ทำสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน แรกๆอาจจะขี้เกียจและไม่เห็นผล แต่ถ้ามีศรัทธา มีความเพียร ปฏิบัติไปสัก 5-6 เดือนจะเริ่มเห็นผล ขึ้นอยู่กับศรัทธาและความเพียรของเรา ความสุขที่แท้จริงคือความสงบ ส่วนเรื่องทางโลกเราก็เรียนก็ทำงานไปตามปกติ ความจริงธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนให้เรารวย ไม่ใช่อยู่กินอย่างอดๆอยากๆ ผู้ใดทำกรรมดี ผลดีย่อมตอบสนอง ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วเราได้ดี สิริมงคลต่างๆ เช่น เงิน ชื่อเสียง ความสุข มิตรสหาย สิริ เป็นต้น จะบังเกิดขึ้นเอง เราก็ดำรงตนอยู่ในสังคมตามปกติสุข ใครที่อ่านขอให้ได้นิพพานกันนะครับ………

mygif_alt
มะนาว029 Says, in 9-18-2011 at 11:01:13 from 223.206.21.61    

เชิญชวนท่านพุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรมครับ ใครชอบอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างนั้นครับ เช่น ทาน(คำว่าทานหมายถึงการให้ อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคำไม่สุภาพนะครับ เป็นคำในสมัยพุทธกาลครับ…) ศีล เช่นศีล 5 ภาวนา(ใครที่ยังภาวนาไม่เป็นก็สอบถามคุณพ่อคุณแม่หรือปู่ย่าตายาย คุณครูหรือซื้อหนังสือมาอ่าน หรืออ่านในห้องสมุด เป็นต้น…) ศึกษาทางอินเตอร์เน็ท นั่งสมาธิ(ผู้เริ่มปฏิบัติใหม่ๆแนะนำว่าทำวันละ 10-20 นาทีก็พอ แต่ถ้าท่านอื่นมีความเห็นเป็นอย่างอื่นก็เชิญแย้งได้นะครับ…) และสุดท้าย แนะนำจากประสบการณ์ครับ ใครจิตตกหรือมีอารมณ์หดหู่อยู่บ่อยๆ แก้โดยอานาปานสติครับ คือภาวนาพุทธ-โธ กำหนดดูลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็มีสติรู้ว่าเข้า หายใจออกก็มีสติรู้ว่าออก โดยส่วนตัวของผม ถ้าผมจิตใจหดหู่ผมภาวนาพุทธ-โธ ประมาณ 10-20 นาที อาการจิตใจหดหู่ก็จะหายไป……….

mygif
แป้งปุก Says, in 9-21-2011 at 19:09:20 from 183.88.88.77    

ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาหมายความว่ารูป-นามเป็นอนัตตา คือความไม่ใช่ตัวตน พร่องไป สลายไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง หยุดอยาก คิดดี พูดดี ทำดี มีสติ ก้าวเข้าสู่ภาคปัญญา ทำบุญ รักษาศีล เจริญภาวนา ไม่ข้องกับอกุศลกรรม ประกอบกุศลกรรม หมั่นทำสมาธิ จิตใจเข้มแข็ง ไม่ท้อ จิตใจสงัดจากกิเลส เป็นคนดี………..

mygif_alt
LookHin Says, in 9-21-2011 at 21:45:34 from 115.87.217.75    

คุณ แมวเป้านุ่งยีนส์ , มนต์ทิพย์ , วิวัฒน์เท่ห์ , ว่าน , ศรัณย์ , วิทย์ , เด็กดี , โต้ง , ดีนส์ , แป้งปุก , มะนาว029 เป็นอะไรกับ http://www.teenee.com เหรอครับ เห็นใส่ link ไปที่ http://www.teenee.com ทุกท่านเลย ^^

LookHin
Mr.Khwanchai Kaewyos (LookHin)
Mobile : 088-799-8421
Name : LookHin
E-mail : [email protected]

https://github.com/LookHin
https://www.facebook.com/LookHin
https://twitter.com/LookHin