ภายในของ Sonoff WiFi Smart Switch ก็เป็น ESP8266 ที่ต่อกับรีเลย์เพื่อใช้ควบคุมการเปิดปิดของวงจรไฟฟ้า โดยสามารถใช้งานกับไฟบ้านที่แรงดัน 90-250v AC(50/60Hz) รับกระแสได้สูงสุด 10A เพียงพอสำหรับการเอามาใช้สำหรับเปิดปิดหลอดไฟทั่วๆ ไป ราคาประมาณ 280-300 บาท ซึ่งทางผู้ผลิตเขาก็มีแอพชื่อ eWeLink เอาไว้ให้เราโหลดมาใช้ควบคุมตัวสวิตซ์ตัวนี้ได้อยู่แล้วแหละ แต่ว่ามันก็ใช้แค่เปิดปิดกับตั้งเวลาได้เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ตรงกับความต้องการของเรา ความต้องการของเราคือต้องการทำให้หลอดไฟจุดทุกในบ้านสามารถควบคุมได้ผ่านระบบควบคุมกลางคือ Raspberry Pi 3 (แต่ในบทความนี้จะพูดถึงแค่การเขียนโปรแกรมลงบน ESP8266 ของ Sonoff WiFi Smart Switch เท่านั้นนะครับ)
Mobile : 088-799-8421
Name : LookHin
E-mail : [email protected]
https://github.com/LookHin
https://www.facebook.com/LookHin
https://twitter.com/LookHin

บทความนี้จะแสดงตัวอย่างการสร้าง Telegram Bot สำหรับส่งข้อมูลแจ้งเตือนจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ควบคุมด้วย ESP8266 อาจจะนำไปประยุกต์ใช้สำหรับทำวงจรแจ้งเตือนเมื่อมีผู้บุกรุกด้วยการนำ ESP8266 ไปต่อกับเซ็นเซอร์วัดระยะทางด้วยคลื่นอัลตราโซนิค (Ultrasonic Distance Sensor) หรือเซ็นเซอร์อินฟราเรด (PIR Sensor) ซึ้งถ้ามีผู้บุกรุกก็จะให้ส่งข้อความแจ้งเตือนมายัง Telegram หรือจะนำไปต่อกับเซ็นเซอร์ตรวจจับควันก็แล้วแต่จินตนาการ
จริงๆ ผมเคยเขียนเรื่องการใช้งาน Tor ไปแล้ว 2 ครั้ง มาดูอีกทีเป็นช่วงเดือนเดียกันนี้ด้วย คือเดือนธันวาคมปี 2013 “
คราวที่แล้วเราได้ทำการสร้าง Code Snippet เพื่อช่วยให้เราเขียนโค้ดได้เร็วขึ้นไปแล้ว วันนี้เรามาแนะนำ Package ที่ควรติดตั้งไว้เป็นเครื่องทุนแรงอีกสัก 10 ตัว เพื่อช่วยให้งานเขียนโปรแรกมของเรามีสีสันและคล่องตัวมากขึ้น โดยขึ้นตอนการติดตั้ง package ของ ATOM ให้เราเข้าไปที่เมนู File -> Settings -> Install จากนั้นพิมพ์ชื่อ package ที่เราต้องการจะติดตั้ง หรือถ้าอยากรู้ว่ามี package อะไรบ้างที่น่าสนใจให้เขาไปที่
ปกติแล้วถ้าเราจะทำให้เว็บของเราเข้าผ่าน HTTPS ได้เนีย เราก็ต้องเสียเงินซื้อ Certificate ซึ่งก็มีราคาตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น แต่เท่าที่ผมลองมาก็มีของ http://rapidssl.com/ ที่ราคาถูกหน่อยประมาณ 500 กว่าบาทต่อปี แต่ถ้าไม่อยากจ่ายเงินเลยตอนนี้ก็มี Let’s Encrypt https://letsencrypt.org/ ที่มาช่วยเราประหยัดค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ ซึ่งก็มีวิธีติดตั้งง่ายมากๆ ง่ายกว่าแบบเสียเงินซะอีก แต่ว่า certificate ที่ได้มาจะมีอายุแค่ 90 วัน พอหมดอายุแล้วเราก็ต้องกลับไปต่อใหม่ ซึ่งผมก็คิดว่าไม่น่าใช่ปัญหา ลองติดตั้งกันเลยดีกว่า ใช้แค่ 3 ขั้นตอนก็เสร็จ เริ่มเลย..
ก่อนหน้านี้เวลาจะดู Network Traffic หรือ stats ต่างๆ ของระบบผมก็ใช้แต่ MRTG เป็นหลัก ใช้มาหลายปีไม่เคยลองใช้ตัวอื่นดูเลย เห็นใครๆ ก็ว่าเจ้า Cacti นี้มันเจ๋งก็อยากลองบ้าง ส่วนตัวเป็นคนขี้ลืมมาก เวลาทำอะไรเสร็จก็ต้องเขียนไว้หน่อยเผื่อต้องทำอีกวันหลังจะได้ไม่ต้องหาอีก ในการติดตั้ง Cacti เราต้องมี Apache และ MySQL ซึ่งหากยังไม่ได้ทำการติดตั้งให้ทำการติดตั้งตามบทความก่อนหน้านี้ก่อนนะครับ
ปกติแล้วเวลาที่เราจะทำการ remote login เข้าระบบที่เป็น Linux Server เราก็จะใช้ Username และ Password ในการ SSH เข้าไป แต่การใช้ username password ก็อาจจะไม่ปลอดภัยเพราะแฮกเกอร์อาจจะโจมตีแบบ Brute Force เพื่อเดารหัสผ่านเข้ามาได้ ถึงแม้เราจะใช้ fail2ban เพื่อป้องกันการโจมตีลักษณะนี้ได้ แต่ถ้ารหัสผ่านไม่แข็งแกรงพอก็มีความเป็นไปได้ที่แฮกเกอร์จะใช้พรอกซีและแฮกเข้ามาได้ หรือในกรณีที่แย่ที่สุดที่ผมเคยเจอคือผู้ดูแลระบบตั้งรหัสผ่านของอีเมล,ดาตาเบส,ssh เป็นรหัสเดียวกัน และเราหาช่องโหว่เพื่อแฮกไปอ่านค่าคอนฟิกของเว็บนั้นได้ว่าใช้รหัสผ่านดาตาเบสอะไรเราก็มีโอกาสที่จะ ssh เข้าไปควบคุมเซิฟเวอร์ได้ทั้งเครื่อง ส่วน SSH Key จะใช้การจับคู่กันระหว่าง private key และ public key ซึ่งยาว 2048 หรือ 4096 bit ทำให้เป็นไปได้ยากที่แฮกเกอร์จะรู้คีย์นี้ (ยกเว้นว่าเครื่องเราจะโดนขโมย) โดยในตัวอย่างนี้ผมจะใช้ putty ในการสร้างคีย์ และเมื่อเราล็อกอินด้วย SSH key ได้แล้วเราจะทำการปิดการล็อกอินด้วยรหัสผ่านไปเลย